เศรษฐกิจ-การเมือง
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
เศรษฐกิจ-การเมือง – สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพิ่งนำเสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทย ที่ชี้ชัดถึงการเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนากระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองใหญ่
สภาพการณ์อย่างที่ทราบๆ กันคือ เมืองโดยรอบถูกดึงทรัพยากรมาใช้สนับสนุนเมืองใหญ่ แต่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเมืองใหญ่ค่อนข้างน้อย
แนวทางแก้ปัญหาที่สภาพัฒน์เสนอ คือให้ เชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อกระจายความเจริญให้ไปถึงเมืองรอง และการพัฒนากลไกระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม
ที่น่าสนใจคือหนทางการแก้ปัญหานี้ระบุว่า ระบบการบริหารงานภาครัฐต้องกระจายอำนาจมากขึ้น
แนวทางกระจายอำนาจจากส่วนกลางเป็นเรื่องที่พูดกันมานานมาก และมีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นพักๆ ตามสถานการณ์ทางการเมือง
เช่น ช่วงที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง จะเกิดกลไกการเลือกตั้งท้องถิ่นมากขึ้น มีแม้กระทั่งการถกเถียงข้อเสนอให้เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดที่นอกเหนือไปจากกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงรวมทั้งข้อปฏิบัติที่ปูทางสู่การกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น มักสะดุดเมื่อเกิดเหตุรัฐประหารยึดอำนาจ
เนื่องจากแนวทางการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จกับแนวทางประชาธิปไตย ขัดแย้งกันทุกกระบวนการ และไปด้วยกันไม่ได้
สถานการณ์ขณะนี้คือเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงซึมและบ้างใช้คำว่าถดถอย
นอกเหนือจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ในประเทศยังเจอกับปัจจัยทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อการผลิต ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร มีรายงานล่าสุดว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้ผลผลิตภาคเกษตรไทยลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 แต่ภูมิภาคอื่นดีขึ้น ดังนั้น จะกระทบศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลกอย่างแน่นอน
ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือนส.ค.2562 หดตัวร้อยละ 4.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนภาพรวมภาคอุตสาหกรรมยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะอันใกล้ ประกอบกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ 9.2
สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ล้วนบ่งบอกภาพที่ไม่สู้ดีสำหรับเศรษฐกิจขณะนี้และวันข้างหน้า ดังนั้นหนทางใดที่ต้องแก้ไขด้วยการเมือง ต้องรีบทำให้เร็ว