รายงานพิเศษ – ทางออกบิ๊กตู่ ลาออก–ยุบสภา?
รายงานพิเศษ ทางออกบิ๊กตู่ – ท่ามกลางวิกฤตที่รุมเร้า ทั้งเรื่องความขัดแย้ง การเมือง และเศรษฐกิจ จนเกิดเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียุบสภาลาออก
หากข้อเรียกร้องดังกล่าวถูกเมินเฉยขณะที่สถานการณ์มีแนวโน้มบานปลาย
นอกจากยุบสภา ลาออก แล้ว ยังมีทางออกใดบ้างเพื่อหยุดวิกฤตที่จะลุกลาม
วิโรจน์อาลี
คณะรัฐศาสตร์ มธ.
นายกฯคงมองว่าตัวเองมีความจำเป็นต่อชาติบ้านเมืองหากลาออกฝ่ายอื่นเข้ามาก็ไม่มีใครคุมได้แต่ประชาชนมองว่าสุกงอมแล้วทั้งปมเผด็จการความบิดเบี้ยวถูกสั่งสมมาตลอดทั้งเรื่องการเมืองรัฐธรรมนูญเศรษฐกิจเป็นแรงกดดันที่อันตรายและผลักให้คนออกมา
ที่นายกฯ เคยชูเรื่องความมั่นคง วันนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่เป็นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องประชาธิปไตย เวลาของนายกฯ เหลือน้อยเต็มที แต่จะคลี่คลายแบบไหนนั้นบ้านเราการคลี่คลายตามกระบวนการไม่ค่อยเกิดขึ้น
ถ้าหันไปทางรัฐประหาร รอบนี้ไม่ใช่ทางออกของสังคม ประเด็นนายกฯคนนอกก็ถูกปฏิเสธ หรือจะยุบสภาใช้กระบวนการปกติ แก้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตยก็จะผ่อนแรงกดดันรัฐบาลได้ แต่ปัญหาคือไม่มีออปชั่นให้เลือก
การปรับครม.ครั้งใหญ่ หรือยกเครื่องทีมเศรษฐกิจจะลดแรงกดดันได้ถ้าที่ผ่านมาทำเพื่อตอบสนองปัญหา กลับปรับเพื่อแก้ปัญหาในรัฐบาล ไม่ได้ปรับเพื่อบ้านเมือง แต่พยายามแบกพวกเดียวกัน พอเจอแรงกดดันทางการเมืองก็ทิ้งทันทีอย่างกรณีของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือกรณี นายปรีดี ดาวฉาย การปรับครม.จึงไม่ช่วยแล้ว และไม่สร้างความเชื่อมั่น
วันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวางตัวบุคคลแต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ตัวนายกฯเองไม่มีภาวะผู้นำไม่มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารองค์ความรู้หรือทำความเข้าใจปัญหาจะเห็นว่าไม่ว่าเปลี่ยนใครแนวนโยบายหลักๆยังเหมือนเดิมมาตรการชิมช้อปใช้บัตรคนจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ยิ่งมาเจอโควิดยิ่งแก้ไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ
หากผ่อนหนักเบาตั้งแต่เลือกตั้งจะลดแรงกดดันได้ แต่มาถึงจุดที่นายกฯ พยายามผูกทุกอย่างเข้ามาไว้ในมือตัวเอง เช่นการตั้ง ศบค.ก็ยึดอำนาจทุกอย่างกลับมาที่ตัวเองศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจก็เช่นกัน
ที่บอกการลาออกจะกระทบต่อการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องกำหนดไทม์ไลน์ให้ชัดเจน ตั้งเงื่อนไขว่าถ้าตั้งส.ส.ร.แล้วอีก 1-2 เดือนข้างหน้าจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้ง โดยที่ส.ส.ร.ยังทำหน้าที่ต่อ
นายกฯ ต้องถอย ทางออกอื่นไม่น่าจะมี หรือถ้าตื่นมาพรุ่งนี้นายกฯ ทำทุกอย่างที่ควรทำ ลงไปคุยกับม็อบ ดูแลคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุด ไม่ใช่คุยกับนายทุนก่อนถ้าแก้ให้ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์อาจรอด
วันนี้แรงกดดันมากจนมองว่าที่ขออยู่ต่อคงไม่ได้ เพราะเริ่มเห็นการขยับของส.ว.ที่ไปร่วมลงชื่อในญัตติฝ่ายค้านแม้จะถอนชื่อแต่ก็เห็นแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นแล้ว
เดชรัตสุขกำเนิด
นักวิชาการเศรษฐศาสตร์
รัฐบาลคงไม่เลือกการลาออก ยุบสภา แต่ถ้าถามว่าสุกงอมหรือไม่คงมองไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นลำดับแรกมากกว่า เพราะถ้ายุบสภาหรือลาออกภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็น อยู่นี้สุดท้ายคนที่จะเข้ามาก็อาจเป็นคนเดิมหรือคนในสายเดิมเพราะส.ว.ยังคงอยู่ จึงไม่คิดว่าสุกงอมในทางเลือกระดับต้นๆ น่าจะเป็นทางเลือกลำดับหลังมากกว่า
ในทางตรงกันข้ามถ้าทางเลือกนี้จะเกิดขึ้นอาจเกิดในทางกลับกันคือฝ่ายมีอำนาจอยากรักษารัฐธรรมนูญไว้เลยยอมสละรัฐบาลชั่วคราวเพื่อยืดการแก้ไขรัฐธรรมนูญและอาจมีเรื่องที่เขาเห็นว่าควบคุมไม่ได้จึงเชื่อว่าเขาจะผ่อนกระแสโดยให้แก้รัฐธรรมนูญเพียงแต่จะมากหรือน้อยและถึงยอมแก้แต่ใช้เวลานานกระแสกดดันยุบสภาลาออกก็อาจหนักขึ้น
แต่เนื่องจากเข้าสู่กระบวนการแก้ไขแล้ว จึงคิดว่านายกฯต้องหาทางแก้ปัญหาหลักๆ 3 เรื่องเรื่องแรกปัญหาเศรษฐกิจถ้าแก้ไม่ได้เศรษฐกิจจะเป็นปัญหาหนักเรื่องที่สองปัญหาทางการเมืองแม้จะเริ่มเข้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วแต่ปัญหาทางการเมืองความขัดแย้งต่างๆยังดำรงอยู่
สุดท้ายผลกระทบของแต่ละกลุ่มทั้งนักเรียนนักศึกษาข้อเสนอประชาชนจังหวัดต่างๆถ้าแก้ไม่ได้แม้จะไม่มีเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่แรงกดดันให้ยุบสภาลาออกก็อาจดังขึ้น
ก็วนกลับมาจุดเดิม ฝ่ายมีอำนาจรัฐคิดว่ารัฐธรรมนูญถูกแก้ กลไกที่เคยได้เปรียบอาจลดลง หาคนอื่นมาทำแทนรัฐบาล แทนนายกฯ ก็อาจเป็นไปได้ ส่วนนายกฯ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากนักนอกจากทำงานให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ส่วนทางออกด้วยการยกเครื่องทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ นายกฯคงยังหาไม่ได้ ถ้าหาได้ก็อาจแก้ปัญหาไม่ได้มากนักเพราะยังมีข้อติดขัดอยู่หลายส่วน ชุดเดิมที่ออกไปก็มีความเป็นทีมอยู่แล้วยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง คราวนี้ความเป็นทีมน้อยลงน่าจะแก้ปัญหาอะไรได้ยากขึ้น และถ้าปรับแล้วแก้เรื่องเศรษฐกิจไม่ได้ แม้จะผ่อนด้วยการแก้รัฐธรรมนูญแล้วกระแสยุบสภาหรือให้ลาออกก็อาจกลับมาใหม่
ส่วนกระแสข่าวปฏิวัติ รัฐประหาร ถ้ามีก็คงจบจริง จบในความหมายที่ว่าอนาคตของประเทศก็จบ เพราะตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคือการเปิดรับนักท่องเที่ยว การลงทุนต่างๆ ให้กลับมา จึงคิดว่าไม่น่าจะมีความคิดการทำรัฐประหารขึ้นอย่างจริงจัง ยกเว้นคนที่คิดสั้นมากจริงๆ เชื่อว่าเป็นลักษณะการพูดขู่ แต่คิดว่าไม่ค่อยมีใครกลัวคำขู่นี้สักเท่าไร
ยังมองว่า การแก้รัฐธรรมนูญที่ต้นเหตุน่าจะเป็นทางเลือกที่รอมชอมกันได้ในระดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะมีใครมาเป็น ส.ส.ร. และจะมีการแก้ไขลักษณะไหน
ฐิติพลภักดีวานิช
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี
การลาออกไม่ได้ทำให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ต้องพูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ การยกเลิกอำนาจส.ว.โหวตเลือกนายกฯถ้ายกเลิกเรื่องเหล่านี้ได้จะถือเป็นการเปิดทางให้มีระบบมีความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ดังนั้น นายกฯ ลาออก แล้วอำนาจส.ว.ยังอยู่แบบเดิมก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี อาจโหวตนายกฯกลับมาก็เป็นได้ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาจริง แต่การแก้ปัญหาจริงๆ ในปัจจุบันคือต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้ส.ว.มีอำนาจใดๆ และตราบใดที่ส.ว.มาจากการเลือกของคสช.ทุกอย่างก็คงเหมือนเดิม
ถ้าไม่ลาออกแต่ปรับครม.ในส่วนทีมเศรษฐกิจก็ไม่ถือเป็นการแก้ปัญหาได้จริงเพราะตอนนี้นายกฯก็ดูทีมเศรษฐกิจอยู่ทุกวันนี้เราไม่ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีตามความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆแต่อยู่ที่ว่านายกฯจะเลือกใครอยู่ที่ความสัมพันธ์และโควตาพรรค
การให้ลาออกและยุบสภาตอนนี้ แล้วยังอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับเดิมก็ไม่ได้เอื้อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทเฉพาะกาลยกเลิกอำนาจส.ว. มาตรา 272 ถ้ายกเลิกมาตรานี้แล้วลาออกก็ยังสามารถเลือกตั้งใหม่ได้และจะเป็นเกณฑ์ที่ยุติธรรมมากกว่าและหลายพรรคมีโอกาสเป็นนายกฯมากกว่าพลังประชารัฐ
ถ้าลาออกและยุบสภาตอนนี้ก็เป็นแค่เกมรูปแบบเดิม เพราะ ส.ว.ยังอยู่ ถึงจะเลือกตั้งไปก็เป็นการใช้งบประมาณโดยไร้เหตุด้วย การลาออกหรือยุบสภาไม่ใช่ทางออกเดียวในการแก้ปัญหาได้ แต่การลาออกที่เป็นทางออกที่ดีของประเทศและเป็นประชาธิปไตยก็ต่อเมื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและยกเลิกอำนาจส.ว.
แต่ ณ ตอนนี้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่แล้วไม่แก้รัฐธรรมนูญในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากให้แก้ไม่ใช่ทำแค่เป็นพิธีกรรมเท่านั้นหมายความว่าต้องแก้ให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นด้วยซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนรัฐมนตรีก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และการทำงานของรัฐบาลก็ควรเป็นแนวทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ปิดกั้นเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก แต่ก็มองว่า สิ่งที่กล่าวมานั้นคงเกิดขึ้นได้ยากจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ตอนนี้จึงยังมองหาทางออกไม่เห็นว่าทางใดจะเป็นจริง นอกจากทางทหารยอมจะเสียอำนาจ ซึ่งเชื่อว่าทหารเองก็ไม่ยอมแน่นอน เพราะคสช.เองยังต้องการรักษาอำนาจ
ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ก็มองแต่ผลประโยชน์ความมั่นคงของกลุ่มคสช.เอง กลุ่มที่เป็นของคนที่สนับสนุนรัฐบาลและทหารเป็นหลัก มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศ และการมีประชาธิปไตยของไทยในระยะยาว ตอนนี้เรามองไม่เห็นทางออกได้เลย
พรสันต์เลี้ยงบุญเลิศชัย
คณะนิติศาสตร์จุฬาฯ
รัฐบาลอยู่มา 6 ปี แค่เข้ามาก็มีการตั้งคำถามเรื่องที่มาไม่ชอบกฎหมาย ก่อนโควิดก็มีนิสิต นักศึกษาเคลื่อนไหวคัดค้าน จนเกิดโควิดและสถานการณ์เริ่มซาก็ออกมาอีกการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกจึงไม่เกินความคาดหมาย
คนรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมต้านรัฐบาลในเบื้องต้นและเป็นคนขับเคลื่อนแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้มีประชาชนกลุ่มอื่นๆที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลออกมาร่วมด้วยเพื่อสื่อว่ามีเรื่องสงสัยต่อการใช้อำนาจและสุกงอมมากพอที่ทุกคนจะออกมา
หลายเรื่องเป็นรูปธรรมชัดเจนตั้งแต่นาฬิการองนายกฯ จนถึงคดีบอส ที่ผลสะเทือนเทียบได้กับกรณีออกพ.ร.ก.นิรโทษกรรม ประกอบกับโควิดที่ดูราวกับว่าไทยบริหารจัดการเรื่องการป้องกันได้ดี แต่มาตรการที่ใช้มีผล กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
และตอนนี้สถานการณ์ไปไกลมากกว่าการที่นายกฯจะออกหรือไม่ออก เพราะข้อเรียกร้องไปไกลถึงโครงสร้างทางการเมืองภาพใหญ่ที่เป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งมีที่มาไม่เป็นประชาธิปไตย จนนำไปสู่ข้อเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ
แต่ก็ยังไม่เห็นท่าทีของรัฐบาลต่อข้อเรียกร้องต่างๆ ทำให้ผู้เรียกร้องไม่พอใจ ยังไม่มีการเทคแอ๊กชั่นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลพร้อม หรือรับข้อเสนอไปปรับปรุงทั้งที่ปัญหาหลายอย่างรุมเร้า
ความขัดแย้งที่มีสูงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่านายกฯ คือหนึ่งในผู้ขัดแย้ง ในปี 2557 นายกฯ บอกเป็นคนกลางเข้ามาสลายความขัดแย้ง มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญก็เขียนว่าต้องสร้างความปรองดอง แต่บริหารถึงวันนี้ไม่ได้สร้างความปรองดอง แต่มีลักษณะสร้างความแตกแยกขัดแย้ง นักการเมืองหรือแม้แต่ส.ว.ยังออกมาพูดว่าเขาผิดหวังเรื่องปฏิรูปเพราะไม่เห็นว่าจะเกิดการปฏิรูปจริงๆ
ปฏิกิริยาของผู้คนจึงย้อนกลับว่านายกฯ คือหนึ่งในผู้ ขัดแย้ง จึงตั้งเงื่อนไขว่านายกฯ ตองลาออก ยุบสภา ดังนั้น นายกฯ จึงต้องมาฟังผู้ชุมนุม จะลอยตัวเหนือความขัดแย้งไม่ได้ นายกฯ ไม่ใช่กรรมการเข้ามาห้าม 2 ฝ่ายตีกัน
และถ้าเข้ามาแล้วรีบออก สภาวการณ์แบบนี้ไม่เกิด แต่เข้ามานานเกินไป เมื่อเข้ามาอยู่นานปฏิเสธไม่ได้บริหารราชการแผ่นดินใช้อำนาจรัฐทำให้กลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยปริยาย ความผิดพลาดคืออยู่ยาว
นายกฯต้องแสดงท่าทีแสดงความจริงใจพูดคุยรับฟังรับข้อเสนอเปิดเวทีคุยเป็นทางการเมืองวางสเต็ปว่าจะทำอะไรบ้างถ้าไม่แก้วันดีคืนดีอาจมีปัจจัยบางอย่างที่บอกไม่ได้ทางการเมืองเนื่องจากวันนี้การเมืองไปเร็วมากแล้วนำไปสู่ความรุนแรงได้
การปรับครม.ปัญหาไม่จบอยู่ดี เพราะคำถามคือปรับแล้วตอบโจทย์ที่หลายคนเรียกร้องหรือ หรือต่อให้ปรับยังไง ผู้ชุมนุมก็ไม่พอใจเพราะเขากำลังสื่อสารกับนายกฯ ไม่ได้ สื่อสารกับครม.