จับสัญญาณ–เช็กความพร้อมเลือกตั้ง
จับสัญญาณ-เช็กความพร้อมเลือกตั้ง : ภาพการแยกกันลงพื้นที่ในวันเดียวกัน แต่คนละจังหวัดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต มิใช่พฤติกรรมปกติธรรมดา แต่แฝงด้วยการหาเสียง ขณะเดียวกันมีปัญหาขัดแย้งปรากฏขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ จึงอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้ง
พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลได้สะท้อนมุมมองต่อกรณีที่เกิดขึ้น รวมทั้งการเตรียมพร้อมเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนี้
องอาจคล้ามไพบูลย์
รองหัวหน้าพรรค
ประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
จริงๆแล้วการลงพื้นที่ของระดับผู้นำรัฐบาลและผู้นำพรรคการเมืองถือเป็นเรื่องปกติไปตรวจงานไปให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ต่างๆซึ่งกรณีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บังเอิญมาลงพื้นที่ในวันเดียวกัน และลงพื้นที่หลังจากพรรคพลังประชารัฐมีปัญหาภายในพรรค อาจทำให้สังคมมองไปอีกทางหนึ่งได้ จึงทำให้เกิดการวิจารณ์มากกว่าปกติ แต่ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องประลองกำลังกัน แต่ไม่มีใครรู้ดีกว่านายกฯ และ พล.อ.ประวิตร
ส่วนทำไมนายกฯ ถึงมาลงพื้นที่ในช่วงนี้นั้น ถ้ามองย้อนไปจะเห็นว่านายกฯ ลงพื้นที่มาตลอดเป็นระยะ แต่ถ้ามองว่าขณะนี้รัฐบาลอยู่มา 2 ปีครึ่งเหลืออีกปีครึ่งจะครบวาระในการเลือกตั้งใหม่อาจจะถูกวิจารณ์ได้ว่าช่วงนี้มีการลงพื้นที่มากขึ้นทั้งที่ไม่ว่าพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ลงพื้นที่ทำงานเพื่อประชาชนกันอยู่ตลอดเวลา
ผมจึงไม่ได้มองว่าการลงพื้นที่ของนายกฯ หรือ พล.อ. ประวิตร เป็นการส่งสัญญาณเรื่องการเลือกตั้ง
การที่ พล.อ.ประวิตรหลุดปากว่าจะมีการเลือกตั้งในปีหน้านั้น ท่านก็พูดตามปกติ ปีหน้าก็ปลายปี ปีโน้นก็ครบวาระพอดี ในเดือนมี.ค.2566 ซึ่งไม่ได้ผิดสังเกต สิ่งที่ท่านพูดก็ไม่ได้เกินเลยจากความจริง เพราะเลือกตั้งครบวาระปี 2566
ส่วนรัฐบาลจะอยู่ครบหรือไม่ครบวาระ ต้องดูกันต่อไป โดยปกติรัฐบาลอยากอยู่ครบวาระหรือใกล้เคียงมากที่สุด ส่วนรัฐบาลนี้ คิดว่าถ้าดูการบริหารจัดการในขณะนี้คงพยายามอยู่ในครบวาระ แต่จะครบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรัฐบาล หรือปัญหาภายนอกรัฐบาล ดังนั้น ต้องติดตามดูว่าจะมีปัจจัยใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบวาระ
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมความพร้อมการเลือกตั้งไว้แล้วคือ 1.ผู้สมัคร 2.นโยบายพรรคที่จะเสนอต่อประชาชน และ 3.การสร้างผลงานให้ประชาชนยอมรับพรรค ซึ่งใน 3 ส่วนนี้ถือว่ามีความคืบหน้ามากพอสมควรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องนโยบาย คณะกรรมการนโยบายของพรรคได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถ้าโควิดยังอยู่เราจะดำเนินการอย่างไร
หากโควิดคลี่คลาย พรรคต้องเตรียมพร้อมเดินหน้าประเทศ หรือหากไม่คลี่คลาย มีการกลายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น พรรคก็ต้องคิดนโยบายรองรับ และพัฒนานโยบายไปในอนาคตข้างหน้า ต้องเตรียมวิธีการแก้ปัญหารองรับไว้ด้วย เหมือนกับที่เราเตรียมนโยบายประกันรายได้ การแก้รัฐธรรมนูญไว้ล่วงหน้า เมื่อเราร่วมรัฐบาลก็นำมาปฏิบัติได้ทันที
สำหรับการเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบนั้น พรรคไม่กังวลเราพร้อมแข่งขันในทุกระบบอยู่แล้ว และในอนาคตเราจะเป็นพรรคขนาดกลาง ใหญ่หรือเล็ก ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานเพียงพอหรือไม่ ถ้าเราทำงานหนักเพียงพอ และได้รับความนิยมจากประชาชน เราก็พัฒนาพรรคขนาดเล็กไปเป็นพรรคขนาดกลางและใหญ่ได้ แต่ถ้าทำงานไม่เพียงพอ จากพรรคใหญ่ก็กลายเป็นพรรคขนาดกลางหรือเล็กได้
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่าต้องแข่งกับใคร ถ้าประเมินตอนนี้ก็อยู่บนข้อมูลที่ไม่ชัดเจน จึงต้องรู้ตัวผู้สมัครก่อน และสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน ทำให้การ เลือกตั้งและผลเปลี่ยนแปลงตลอดดังนั้น เราจึงไม่มานั่งประเมินว่าเราได้มากน้อยแค่ไหน แต่คิดว่าเราต้องทำงานให้เกินหน้า และได้รับการยอมรับจากประชาชนมากที่สุดมากกว่า
ดังนั้น การลงพื้นที่หนักในช่วงนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ประชาธิปัตย์จึงไม่ได้กังวล เพราะแต่ละพรรคก็ลงพื้นที่กันทั้งนั้น ซึ่งการลงพื้นที่ของแต่ละพรรครูปแบบวิธีการแตกต่างกันไป พรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลอาจจะได้รับความสนใจมากหน่อย
ชัยธวัช ตุลาธน
เลขาธิการพรรคก้าวไกล
การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ในช่วงนี้ สะท้อน 2 มิติคือ 1.เป็นการวัดพลังกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร เป็นความแตกร้าวที่สืบเนื่องมาตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด และสะท้อนลักษณะของพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นแค่การรวมตัวของกลุ่มก๊วนทางการเมือง ฉะนั้น ใครรวมกลุ่มก๊วนทางการเมืองมาอยู่ภายใต้ตัวเองได้มากกว่าก็จะมีอำนาจมากกว่า
2.ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนแม้แต่รัฐบาลเองก็เข้าใจดีว่ารัฐบาลไม่น่าจะอยู่ยาวได้มากแล้ว การประชุมของพรรคพลังประชารัฐเมื่อ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการพูดคุยกันชัดเจนว่าต้องยอมรับความจริงเรื่องความตกต่ำในความนิยมของพรรคพลังประชารัฐและรัฐบาล รวมถึงมีโอกาสที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ดังนั้น ความพยายามในการแสดงผลงาน การไปพบปะประชาชนจะถี่มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ รวมถึงการพยายามอัดงบประมาณของรัฐบาล เพื่อฟื้นฟูความนิยมของตนเอง ซึ่งคงจะเห็นอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้
ผมคิดว่าการเลือกตั้งภายในปีหน้าค่อนข้างมีความแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นเร็วขนาดไหน ตั้งแต่ต้นปี กลางปี หรือปลายปีซึ่งเป็นไปได้ทุกแบบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละช่วงด้วย ทั้งนี้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทราบดีว่าถึงที่สุดแล้วหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นภาระมากกว่าที่จะกลายเป็นต้นทุน เพราะความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำมาก หากพวกเขาต้องแบก พล.อ.ประยุทธ์มาใช้หาเสียง คงนึกไม่ออกเลยว่าจะชนะเลือกตั้งได้อย่างไร
ในส่วนของพรรคก้าวไกลเราเข้าสู่โหมดเตรียมความพร้อมเลือกตั้งแล้ว โดยมีการปรับโครงสร้างการทำงานและแผนการทำงานในพรรคให้พร้อมเลือกตั้ง เพราะการยุบสภาอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เราไม่รู้ว่าความขัดแย้งภายในรัฐบาลจะนำไปสู่การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะยุบสภาเมื่อใด แม้กระทั่ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเองก็ยังไม่แน่ใจ
เราเริ่มต้นสรรหาผู้สมัครเลือกตั้งทั่วประเทศแล้ว ซึ่งเป็นการสรรหาในเบื้องต้น เพื่อทดลองการทำงาน ทดสอบว่าวิธีคิด ความชัดเจนทางอุดมการณ์ ตรวจสอบข้อมูลว่าที่ผู้สมัคร และรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค แต่กว่าจะมีความสมบูรณ์ทางกฎหมายก็ตอนยุบสภา ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลจะส่งผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขตทั่วประเทศ
นอกจากนี้เรายังเตรียมเรื่องนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมายังไม่มีการลงพื้นที่อย่างจริงจัง เนื่องจากข้อจำกัดจากสถานการณ์โควิด แต่เมื่อปิดสมัยประชุมแล้ว การเข้าไปพบปะประชาชนทั่วประเทศจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ย.เป็นต้นไป
ส่วนผลดีผลเสียของบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคก้าวไกลมั่นใจว่าไม่ว่าระบบเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร เราโตขึ้นอย่างแน่นอน ตอนนี้เรามีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่าความนิยมของพรรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พรรคก้าวไกลได้แสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์ในสภา จนเป็นที่ยอมรับแล้ว และคราวนี้เรามีเวลาเตรียมพร้อมการเลือกตั้งนานกว่าสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่มาก
ดังนั้น เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เรามีต้นทุน เราได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งยังได้ยินข่าวมาด้วยว่าในที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐยังบอกว่ากลัวพรรคก้าวไกลเลย ยิ่งยืนยันว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เราสำรวจความเห็นมา หากมีการเลือกตั้งในปีหน้าจริงๆ พรรคก้าวไกลมีความพร้อม ความจริงแล้วพร้อมตั้งแต่ปลายปีนี้เลย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
การลงพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ดูแล้วไม่ปกติ ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะหลายปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่น้อยมาก ยิ่งจัดภารกิจไปตรวจน้ำท่วมเหมือนกัน วันเดียวกัน แต่ไปคนละจังหวัดยิ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร กำลังทดสอบและวัดพลังกันเอง ยิ่งส.ส.ในพรรคแห่ไปรอต้อนรับพล.อ.ประวิตรมากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งมีนัยยะสำคัญ ชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตรยังมากบารมี และกุมอำนาจภายในพรรคอยู่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ไม่เหมือนเดิม แม้เบื้องหน้าจะแสดงออกว่ายังรักกันหวานชื่น แต่เบื้องหลังดูอย่างไรก็มีปัญหา ผมเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรยังเจ็บลึกอยู่ในใจที่พล.อ.ประยุทธ์ปลดคนสนิทออกจากรัฐมนตรี
ส่วนที่หลายฝ่ายวิจารณ์การลงพื้นที่ของพล.อ. ประยุทธ์ ในช่วงนี้เข้าข่ายหาเสียงแฝงไปด้วยนั้น ส่วนตัวมองเป็น 2 มุม ด้านหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์คงอยากแสดงให้ส.ส.พลังประชารัฐเห็นว่าไม่ได้ทอดทิ้ง เนื่องจากมีเสียงสะท้อนก่อนหน้านี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยสนใจ ไม่ดูแล และไม่ให้ความสำคัญกับส.ส.ทั้งที่ ส.ส.พลังประชารัฐคือฐานเสียงสนับสนุนของพล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกันระหว่างกันคงไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์แทบจะไม่ออกไปไหนเลย ขนาดในช่วงเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่พอสมควร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่ลงพื้นที่เพื่อบัญชาการเหตุการณ์ ไม่เข้าไปดูแลประชาชนเลย ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำงานกันเอง ทำให้ถูกวิจารณ์มากพอสมควร และเมื่อสถานการณ์ โควิด-19 เริ่มทรง เลยถือโอกาสลงพื้นที่บ้างเหมือนกลัวถูกต่อว่า
แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไม่ราบรื่นเหมือนเดิม แต่เชื่อว่าการยุบสภาจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนพ.ย.เป็นต้นไป การยุบสภาอาจเกิดขึ้นได้ ขอให้ติดตามกฎหมายสำคัญจะที่เข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยเฉพาะ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 คาดว่าจะมีผู้อภิปรายกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวาง จึงเชื่อว่าจะเป็นอีกชนวนความขัดแย้ง และกรณีการขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 70% ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะต้องขอออก พ.ร.ก.กู้เงินอีก หากกฎหมายการเงินไม่ผ่าน รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก
นี่ถือเป็นอีกชนวนความขัดแย้งและจะเป็นเกมต่อรองในซีกรัฐบาล ทั้งของกลุ่ม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ขอให้จับตากันให้ดี
ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการเลือกตั้ง อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงสิ้นปีหรือต้นปี 65 เพราะความเป็นเอกภาพของรัฐบาลก็ไม่แน่นแฟ้นเหมือนแต่ก่อน ส.ส.ในพลังประชารัฐก็ไม่ค่อยสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์แล้ว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาโควิด-19 ปัญหาการเปิดประเทศที่ยังลักปิดลักเปิด สะท้อนถึงการบริหารราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ ถึงจุดที่ พล.อ. ประยุทธ์จะไปต่อยากแล้ว
ในส่วนของเพื่อไทย เราพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งผู้สมัคร ส.ส.ก็ลงพื้นที่ต่อเนื่อง เรายืนยันว่าเราส่งผู้สมัครพรรคเดียวครบ 400 เขต ไม่มีการแตกแบงก์ ไม่มีพรรคสาขาย่อยใดๆ ทั้งสิ้น