น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำคณะกรรมการบริหารพรรคไปเยือนประเทศกัมพูชา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
โดยเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จฯ ฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในฐานะประธานพรรคประชาชนกัมพูชา ก่อนที่ทั้ง 2 พรรคหารือทวิภาคีเต็มคณะเกี่ยวกับความร่วมมือในหลายๆ ด้าน
หนึ่งในหัวข้อน่าสนใจคือ การพัฒนาการค้าชายแดนที่ประเทศไทยและกัมพูชามีแนวเขตชายแดนติดกันถึง 7 จังหวัด สามารถเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยเป็นสนามรบให้เป็นสนามการค้า
เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่ตั้งเป้ามูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา 525,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยสส.ทั้ง 2 พรรค มีโจทย์หลักคือการทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชน นำไปสู่การสร้างสันติภาพ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
การไปเยือนกัมพูชา หารือผู้บริหารพรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกัมพูชาอยู่ในขณะนี้ของพรรคเพื่อไทย แกนนำหลักพรรคร่วมรัฐบาล เป็นที่จับตามองของสังคม
โดยเฉพาะจากกลุ่มเครือข่ายอำนาจเก่าที่ยังยอมรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง และกลุ่มอนุรักษนิยม โดยตั้งข้อสังเกตในลักษณะจะมุบมิบเจรจาอะไรกันบางอย่างหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์
ที่น่าตกใจคือบางกลุ่มวิเคราะห์ไปไกลถึงขั้นประเทศอาจสูญเสียดินแดนตามแนวชายแดน และพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน ซึ่งยังมีหลายจุดที่ยังตกลง และจัดการร่วมกันไม่ได้
หนึ่งในนั้นคือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แหล่งพลังงานใต้ทะเล ประเมินมูลค่าประมาณ 20 ล้านล้านบาท
ในอดีตกลุ่มอนุรักษนิยมนำเรื่องพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ มาเป็นเครื่องมือขับไล่รัฐบาลขณะนั้น โดยมีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามร่วมผสมโรงฉกฉวยโอกาส
ปลุกปั่นเรื่องสูญเสียเขตแดนอธิปไตย โหมกระแสความรักชาติจนเกินขอบเขต จนกระทั่งพัฒนากลายเป็นความคลั่งชาติ สุดท้ายนำไปสู่การรบพุ่งปะทะกันตามแนวชายแดน สูญเสียชีวิตทหาร และทรัพย์สินประชาชน
นอกจากนี้ยังสูญเสียโอกาส และผลประโยชน์ร่วมกันจากพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้ง 2 ประเทศสามารถนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวตามแนวชายแดน
ดังนั้น กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ถ้าจะคัดค้าน หรือทักท้วงย่อมกระทำได้อย่างมีเหตุมีผล แต่ไม่ใช่ปลุกปั่นความคลั่งชาติจนขาดสติ