วันที่ 23 ธ.ค. ที่ ห้องประชุมสารนิเทศ หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 3/2559 เรื่อง “ก้าวต่อไปของผู้ให้บริการออนไลน์ หลัง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2559” มีวิทยากรประกอบด้วย นางปารีณา ศรีวนิชย์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ นายศรัทธา หุ่นพยนต์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายบริษัท Lazada (Thailand) และ นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล เลขานุการมูลนิธิเพื่ออินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมพลเมือง

นางปารีณากล่าวว่า สาระสำคัญของกฎหมายในภาพรวมโอเค แต่มีข้อห่วงกังวลในส่วนของร่างประกาศกระทรวง ที่มุ่งเน้นไปยังรัฐและเอกชนเป็นหลัก อยากให้ห่วงเรื่องประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นด้วย

ในร่างประกาศกระทรวง ที่จะออกตามมาตรา 15 ของพ.ร.บ.คอมพ์ ว่าด้วยการพ้นผิดของผู้ให้บริการ หากดำเนินการระงับการเผยแพร่ และลบข้อมูลที่มีความผิด จากระบบการแจ้งเตือน มีข้อห่วงกังวลว่า จะเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ สำหรับการให้ผู้ให้บริการทำการระงับการเผยแพร่และลบทำลายข้อมูล ทั้งที่ยังไม่มีการชี้ถึงความผิดของข้อมูลนั้น จึงควรมีการระบุฐานความผิดให้ชัด เพื่อไม่ก้าวล่วงศาล และให้ผู้ให้บริการสบายใจ

นางปารีณากล่าวอีกว่า หลักเกณฑ์การแจ้งเตือนร่างประกาศ กำหนดให้ผู้ร้องเรียนต้องใส่ข้อมูลตัวตันที่แจ้งไปยังผู้ให้บริการแล้วส่งต่อให้ผู้ร้องเรียนทราบด้วยนั้น มันจะกลายเป็นการทำให้เอกชน 3 ฝ่ายต้องมาทะเลาะกันจากมาตรการของรัฐนี้หรือไม่

แน่นอนว่า ในทางปฏิบัติอำนาจการตัดสินใจส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ เป็นไปได้ 2 ทางคือ เอาลงตามรายงานแจ้งเตือน และ ไม่เอาลง เนื่องจากรู้ว่าข้อมูลนั้นไม่ผิดแน่นอน หรือไม่ก็ต้องการคุ้มครองเสรีภาพของผู้บริการ เนื่องจากยังไม่มีใครชี้ว่าผิด มองว่า มาตรา 15 และร่างประกาศที่เกี่ยวข้องควรมีลักษณะตั้งต้น ด้วยการพิสูจน์เจตนาตามหลักกฎหมายอาญาก่อน หากพิสูจน์ได้ ก็ไม่ต้องดำเนินการตามกระบวนการนี้

นางปารีณากล่าวต่อว่า ส่วนร่างประกาศตามมาตรา 20 ของพ.ร.บ.คอมพ์จะต่างจากมาตรา 15 เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอำนาจศาลในการสั่งระงับการเผยแพร่และลบข้อมูล ถือว่าดีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนฐานความผิดที่เกี่ยงกับความมั่นคงและการละเมิดศีลธรรมอันดีนั้น จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง ขึ้นมาพิจารณา แต่จากประกาศที่กำหนดให้คณะกรรมการชุดนี้ มีเงินเดือน ก็กังวลว่า คณะกรรมการนี้จะเฝ้าดูเราตลอด 24 ชั่วโมงเลยหรือไม่ นอกจาก คณะกรรมการกลางชุดนี้แล้ว ยังมีคณะกรรมการเฉพาะด้าน ที่ยังไม่เห็นว่าจะมีด้านใดบ้าง จึงอยากเรียกร้องกระทรวงดิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยออกมาก่อน

“เมื่อมีคำสั่งศาลให้ระงับและลบการเผยแพร่ข้อมูลแล้ว ร่างประกาศกำหนดให้ เจ้าหน้าที่สามารถระงับได้เองหรือสั่งผู้ให้บริการ ให้ดำเนินการได้ จุดที่น่ากังวลที่สุดคือ การระงับหรือลบของมูลข้องเจ้าพนักงานจะทำได้ก็ต่อเมื่อ ต้องเข้าไปในฐานข้อมูลของผู้ให้บริการ ผู้รับบริการก็จะเสี่ยงต่อการถูกเจาะข้อมูลส่วนอื่นจากหลังบ้าน ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดนั้นได้

หมายความว่า เขาจะเข้าถึงข้อมูลเราได้ทั้งหมด แล้วหากตอนลบเกิดความผิดพลาด ผลกระทบจะเกิดอย่างมหาศาลในทันที

และความน่ากลัวอีกจุดหนึ่งในประกาศ ที่กำหนดว่า เพื่อประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ ให้มีการตั้งศูนย์กลางบริหารจัดการ เพื่อทำการระงบและลบการเผยแพร่ที่ทำให้เจ้าที่เข้าถึงฐานข้อมูลผู้รับบริการจากผู้ให้บริการได้ ดังนั้น จึงเสนอให้ความรับผิดชอบนี้ ควรเป็นของผู้ให้บริการ เพราะมีความชอบธรรมจากคำสั่งศาล และเจ้าหน้าที่ไม่ต้องไปยุ่งกับผู้ให้บริการ” นักกฎหมายกล่าว

ด้านนายศรัทธา กล่าวว่า สำหรับธุรกิจเราไม่ได้กลัวกฎหมาย แต่กลัวผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะไม่รู้เขามีทัศนคติต่อการใช้กฎหมายนั้นอย่างไร สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ จะโดนเรื่องเกี่ยวกับข้อมูล ที่ สำนักงานอาหารและยา (อย.) และ หน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค จะใช้พ.ร.บ.คอมพ์ เป็นตัวหลักมาดูความผิดของเรา ในมาตรา 15 สบายใจขึ้น ช่วยทำให้เราไม่ผิด

แต่ร่างประกาศกระทรวงถ้อยคำยังไม่ชัดเจน และจะเป็นปัญหากับผู้ประกอบการ ซึ่งระบบแจ้งเตือนให้ดึงลง (notice and take down) ตามร่างประกาศ ผู้ประกอบการจะมีมาตรการนี่อยู่แล้ว ใครรายงานอะไรมาที่มีมูลเราก็ดึงข้อมูลนั้นลง

“แต่หากกำหนดตามร่างประกาศนี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งหมดคงไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 15 เพราะร่างประกาศมีเนื้อหาว่า ผู้ให้บริการต้องไม่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากข้อมูลที่มีปัญหาจนถูกรายงาน การเขียนแบบนี้กว้างไป เราทำธุรกิจขายของออนไลน์ มีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นของที่ขายได้ ซึ่งเราไม่ได้มีเจตนาขายของที่มีความผิด

ที่ผ่านมาเราก็เจอปัญหาจากเจ้าหน้าที่ที่มีทัศนคติแบบนี้ อย่าง เลขาฯอย. บอกเราให้กลั่นกรองข้อมูลสินค้าทุกชิ้นก่อนลงเว็บ ผมก็โอ้โห เราขายสินค้าเป็นล้านชิ้น จะต้องเสียทรัพยากรจ้างคนมาดูทุกอย่างให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนขึ้นเว็บ มันจะมีต้นทุนสูงมาก อีกทั้งระบบแจ้งเตือนของเรา ก็พบว่า มีรายงานการกลั่นแกล้งกันเองของร้านค้าจำนวนมาก ที่ใช้บริการเรา” หัวหน้าฝ่ายกฎหมายลาซาด้าระบุ

ส่วนนายอาทิตย์ กล่าวว่า ตัวพ.ร.บ.คอมพ์เองยังคงมีปัญหา สุดท้าย มาตรา 14 มีการเพิ่มคำว่า บิดเบือนเข้ามา แม้กมธ.ของสนช.จะยืนยันว่า คดีหมิ่นประมาทจากมาตรานี้จะน้อยลง แต่ก็เกิดคำถามว่า แล้วการใช้กฎหมายนี้เพื่อฟ้องปิดปาก นักสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม และนักอนุรักษ์ จะหมดไปหรือไม่

ส่วนมาตรา 15 ข้อยกเว้นสำหรับผู้ให้บริการไม่ต้องรับโทษ ก็ยังสงสัยว่า ไม่ต้องรับโทษนั้น แต่จะยังมีคดีอาญาติดตัวหรือไม่ ทั้งยังเป็นการผลักภาระไปยังผู้ให้บริการต้องเป็นผู้พิสูจน์ แต่คนกล่าวหานั้นคือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งยังอาจนำไปสู่การกลั่นแกล้งกัน

ตัวอย่างจากสถิติของกูเกิ้ล ที่ให้ข้อมูลต่อสภานิวซีแลนด์ เพื่อการปรับแก้กฎหมายลักษณะนี้ พบว่า การแจ้งเตือนสูงถึง 57 เปอร์เซ็นต์ มาจากบริษัทคู่แข่งการค้า นอกจากนี้ระบบแจ้งเตือนดังกล่าวยังเป็นการผลักภาระให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น

“ควรปรับประกาศกระทรวงให้ชัดเจนกว่านี้ โดยเฉพาะระบบรับแจ้งแล้วดึงลง (notice and take down) ที่เราจะเห็นว่า เป็นมาตรการของผู้แจ้ง และผู้ให้บริการ ไม่เกี่ยวกับผู้ถูกแจ้งในฐานะเจ้าของข้อมูลเลย

ตัวแบบอย่างประเทศแคนนาดา ควรศึกษา เนื่องจากใช้ระบบ notice and notice เขามองว่า เจ้าของข้อมูลผู้ถูกร้องต้องอยู่ในกระบวนการนี้ด้วย จึงกำหนดมาตรการให้ ผู้ให้บริการ เมื่อได้รับรายงานจากผู้ร้อง ให้แจ้งไปยังผู้ถูกร้อง เพื่อตัดสินใจว่า จะดึงลงหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ไปพิสูจน์กันที่ศาล

ส่วนร่างประกาศตามมาตรา 20 ก็ควรกำหนดมาตราให้ผู้ให้บริการรับผิดชอบ ก่อนเจ้าหน้าที่รัฐ มาตรการควรมีระดับจากเบาไปหาหนัก เพื่อไม่ให้มีผลกระทบเยอะ” นายอาทิตย์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน