วันที่ 24 ก.พ. ที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกายของทางเจ้าหน้าที่ ว่า ในกรอบการทำงานขณะนี้ เป็นเรื่องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีการประชุมและสรุปสถานการณ์ในแต่ละวัน ว่า สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พื้นที่ไหนจะใช้กำลังของใคร หาก ดีเอสไอ ร้องขอมาตนก็พร้อมที่จะสนับสนุน

ส่วนกรณีเกิดการเผชิญหน้าระหว่างพระกับทหารเมื่อวันที่ 23 ก.พ. นั้น บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่นอกวัด และไม่ได้อยู่ในรั้ววัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ต้องการที่จะเข้าไป ทำภารกิจหน้าที่ ควบคุมพื้นที่ เนื่องจากกังวลหลังมีข่าวมือที่สามจะเข้ามาก่อกวน สร้างสถานการณ์ จึงมีความจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ที่รับผิดชอบให้เข้มงวดมากขึ้น เมื่อมีการต่อต้าน ต้องใช้หลักคิดที่ว่าจะยอมเสียเวลาดีกว่าให้มีการปะทะและเสียเลือดเนื้อกัน

เมื่อถามว่า ทหารไปเผชิญหน้ากับพระเป็นภาพที่ไม่สมควรหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ยืนยันว่าเป็นพื้นที่นอกวัด แต่ในเวลานั้นกองบัญชาการควบคุมพื้นที่เป็นผู้พิจารณาว่าต้องทำเช่นนี้ ก็ทำตามนั้น ซึ่งก็มีข้อดีและข้อเสีย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแข็งไปตลอดแผน มีการปรับเปลี่ยนแผนในแต่ละวัน บางครั้งก็ต้องถอยออกมาบ้าง ส่วนกรณีที่วัดธรรมกายจะไปยื่นหนังสือถึงยูเอ็นว่าถูกเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นก็ขอให้เป็นเรื่องของวัดธรรมกาย

“แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ต้องใจเย็นๆและอดทน ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ระบุแล้วว่า ต้องอดทนและพยายาม ดำรงความมุ่งหมายในการบังคับใช้กฎหมาย ต้องยืนหยัดความมุ่งหมายเหมือนเดิม ส่วนสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ที่รับผิดชอบในพื้นที่ต้องคุยกัน ในแต่ละวันและปรับแผนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเสียเลือดเนื้ออย่างไรก็ตามทุกอย่างให้เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติในส่วนของผมเองอยู่ในระดับข้างบนและ พล.อ.ประวิตร ดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว ส่วนที่พระมาตั้งแถว เป็นป้อมปราการจะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยากหรือไม่นั้นไม่เป็นไร” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

เมื่อถามว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่เปลืองตัวหรือไม่เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่จบ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ขณะนี้ยังคงดำรงความมุ่งหมายอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและทำผู้ที่รับผิดชอบก็วิเคราะห์กันว่าวันไหนจะทำอย่างไร ในส่วนของตนที่รับผิดชอบในกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กดล.รส.) มีความพร้อมหากมีการปรับแผน หรืออาจจะต้องใช้หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาเข้าไป

“ระหว่างความเชื่อกับหลักข้อเท็จจริงหรือกฎหมายเราจะเอาตรงไหนเป็นหลัก สังคมจะยืนอยู่ได้ด้วยความเชื่อหรือจะเอากฏหมายแค่นั้นเอง หากเอาความเชื่อ บ้านเมืองก็วุ่นวายไม่จบ แต่ในขณะนี้ต้องพยายามทำความเข้าใจป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการจะสร้างความวุ่นวายและคณะทำงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ก็มีการพูดคุยกันโดยตลอด ทั้งนี้ในส่วนของมือที่สามที่จะเข้ามาสร้างสถานการณ์นั้นก็พอมีอยู่ ที่เข้าไปผสมโรงอยู่ในวัดซึ่งเรากังวลเรื่องนี้จึงมีการเพิ่มเติมกำลังเข้าไป ส่วนพระธัมมชโย ยังอยู่ในวัดหรือไม่นั้นผมยังไม่ยืนยันและไม่ได้ให้ความสำคัญ นอกจากการบังคับใช้กฎหมายและพื้นที่ตรงนี้ ต้องสามารถเข้าไปได้ แต่ขณะนี้ทางวัดธรรมกายไม่ยอมให้เข้าจึงมองว่ามีอะไรที่นอกเหนือจากจากตัวพระหรือไม่ มีอะไรที่ซ่อนอยู่ข้างใน” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ส่วนกรณีนายกิติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.กระทรวงการคลัง และกลุ่มนปช. นำมวลชน ใส่บาตรพระวัดธรรมกายนั้น อย่าพึ่งไปมองว่าเป็น นปช. ให้มองว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า ซึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อน อย่าเพิ่งไปเหมารวมว่าเป็น กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ถือเป็นเรื่องของตัวบุคคล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน