ย้อนเหตุ 10เมษา53 ขอคืนพื้นที่ กระสุนจริง-คนตาย-ชายชุดดำ ที่สังคม อาจหลงลืม?

ผ่านไปแล้วกว่า 9ปี สำหรับเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ สลายการชุมนุม ในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งเหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ การสลายการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้การบังคับบัญชาของ “ศอฉ.” หรือ “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในขณะนั้น เป็นรองผู้อำนวยการ

คนส่วนใหญ่อาจลืมเลือนเหตุการณ์ รายละเอียดต่างๆ ไปหมดแล้ว คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในช่วงหลัง อาจจะยังไม่ซึมซับถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในช่วงนั้น บางคนอาจจำได้เพียงลางๆ ตอน “บิ๊ก คลีนนิ่ง เดย์ – ตึกถูกเผา – ควันเต็มเมือง ฯลฯ” หรืออาจจะจำ แค่วาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” ซึ่งพูดกันในหมู่คนการเมืองทั่วๆไป โดยอาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ที่เกิดขึ้นในวันนั้น

ซึ่งหากรวมทั้งเหตุการณ์ 10 เมษายน และ ช่วง 13-19 พฤษภาคม 2553 ทั้งสองเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่-กระชับพื้นที่” นี้ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 99 ศพ และบาดเจ็บมากว่า 2,000 คน

หนักปกหนังสือพิมพ์ข่าวสด หลังเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” 10 เมษายน 2553 ได้เพียง 1วัน

เว็บไซต์ประชาไท ได้ทำการรวบรวม 10 เรื่องพื้นฐานที่..อาจจำไม่ได้ อาจไม่เคยรู้ แต่หากก่อนไปถึงตรงนั้น อาจมี ตัวเลขที่ สั้นกว่ามากและเป็นการทดสอบความทรงจำ หรือความรับรู้ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นำมาจาก หน้าปกของรายงานที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช. รวบรวมและจัดทำไว้ ตีพิมพ์เมื่อปี 2555

  • 3,000 คือกระสุนสำหรับการซุ่มยิงที่กองทัพเบิกไป (2,120 คือกระสุนที่ใช้ และ 880 คือกระสุนที่ส่งคืน)
  • 117,923 คือจำนวนนัดของกระสุนที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสลายการชุมนุม
  • 700,000,000 คืองบที่ตำรวจใช้กับกำลังพล 25,000 นาย
  • 3,000,000,0000 คืองบที่ทหารใช้กับกำลังพล 67,000 นาย
  • 1,283 คือจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด
  • 1,763 คือจำนวนคนที่ถูกจับกุมระหว่างการชุมนุมและถูกดำเนินคดี
  • 94 คือจำนวนคนเสียชีวิต
  • 88 คือจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้ชาย
  • 6 คือจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้หญิง
  • 10 คือเจ้าหน้าที่รัฐที่เสียชีวิต (ส่วนใหญ่เป็นทหาร ในจำนวนนี้มีตำรวจ 3 นาย)
  • 2 คือสื่อมวลชนที่เสียชีวิต (สัญชาติญี่ปุ่นและอิตาลี)
  • 6 คืออาสากู้ชีพ/อาสาพยาบาลที่เสียชีวิต
  • 32 คือผู้เสียชีวิตที่โดนยิงที่ศีรษะ
  • 12 คืออายุของผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยที่สุด

หน้าปกของรายงานที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช.

– 10 เมษา คืออะไร ?

10 เมษา เกิดขึ้น ในปี 2553 จุดเริ่มต้นคือการชุมนุมประท้วง ของคนเสื้อแดง ที่เริ่มตั้งแต่ 12 มีนาคมจบลงในวันที่ 19 พฤษภาคมปีเดียวกัน

หลัง นปช.ชุมนุมได้เกือบเดือน วันที่ 10 เมษายน เป็นวันแรกที่มีการบาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก หลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุม โดยในขณะนั้นใช้คำว่า “ขอคืนพื้นที่” จากผู้ชุมนุมที่ปักหลักที่สะพานผ่านฟ้าฯ ยาวถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จุดที่มีการปะทะและเสียชีวิตมากคือ ถนนดินสอและแยกคอกวัว

ประชาชนถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงเสียชีวิตหลายราย จนในช่วงค่ำปรากฏ “ชายชุดดำ” ยิงตอบโต้ทหาร ทำให้นายทหารเสียชีวิต 5 ราย ในจำนวนนั้นมี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รวมอยู่ด้วย ซึ่งต่อมาได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเอก ยอดรวมผู้เสียชีวิตในวันนั้นคือ ประชาชน 20 คน ทหาร 5 นาย (มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมภายหลังบางแหล่งระบุ 1 คน บางแหล่งระบุ 2 คน) หลังจากนั้นยังคงมีการชุมนุมของ นปช.ต่อเนื่องไปอีกและการสลายการชุมนุมก็เต็มไปด้วยความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงวันที่ 13-19 พ.ค.มีประชาชนเสียชีวิตเกือบ 70 คน

– “ยุบสภา” คือข้อเรียกร้องที่ผู้ชุมนุมขีดเส้นใต้

ข้อเรียกร้องหลักคือ การเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภา หลังจากดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคม 2551 การดำรงตำแหน่งของอภิสิทธิ์เป็นผลมาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้ยุบพรรคพลังประชาชน (และอีก 2พรรค) ซึ่งมีเสียงข้างมากและเป็นผู้นำรัฐบาลอยู่ในเวลานั้น ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าพรรคพลังประชาชนพ้นจากตำแหน่งนายกฯ นับเป็นการถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่สอง หลังจากไทยรักไทยโดนยุบพรรคไปก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว

เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแส ที่สื่อไทย และ สื่อต่างชาติ ระบุว่าทหารมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ส.ส.ในสภาเข้าร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าพรรคชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเนวิน (เนวิน ชิดชอบ) ที่เป็นอดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชนเดิมเปลี่ยนขั้วมาร่วมกับฝ่ายค้าน กระแสข่าวและความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าว ทำให้คนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนไม่พอใจ และ รวมตัวกันประท้วงและเรียกร้อง ให้เกิดการยุบสภา มาโดยตลอด

หนักปกหนังสือพิมพ์ข่าวสด 12 เมษายน 2553 หลังเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” 10 เมษายน 2553

– ก่อน 10 เมษา เกิดอะไรขึ้น?

10 เมษายนเป็นจุดหักเหที่เกิดความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบสองทศวรรษ เหตุการณ์ความรุนแรงนั้นลากยาวไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้มียอดรวมผู้เสียชีวิตในการสลายการชุมนุมเกือบร้อยราย ผู้บาดเจ็บนับพันราย

(ศปช.ระบุมีผู้เสียชีวิต 94 รายโดยมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยหลังการสลายการชุมนุมเสียชีวิตเพิ่มในภายหลัง, คอป.ระบุมีผู้เสียชีวิต 92 ราย ศอฉ.ระบุมีผู้เสียชีวิต 91 ราย)

ก่อนมาถึงจุดนั้น ในวันที่ 24 ก.พ. 53 แกนนำ นปช. ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12 มีนาคม โดยการนัดหมายเกิดขึ้น 2 วัน ก่อนที่ในวันที่ 26 ก.พ.53 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 4.6 หมื่นล้านบาท

การชุมนุมของนปช.เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 12 มี.ค.มีความพยายามต่างๆ มากมายในการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา รวมถึงเหตุการณ์สำคัญก่อนหน้าวันที่ 10 เมษาเพียง 1 วัน นั่นคือ คนเสื้อแดงจำนวนมากบุกยึดคืน “สถานีไทยคม” ที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทหารเข้าคุมและตัดสัญญาณช่องทีวีดาวเทียมพีเพิลชาแนลซึ่งถ่ายทอดสดการชุมนุมของ นปช. ทำให้ทหารถูกประชาชนปลดอาวุธและเดินเท้ากลับขึ้นรถเป็นทิวแถว

เรื่องนี้ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารคนดัง เขียนไว้ในหนังสือลับลวงพรางว่า ฝ่ายทหารรู้สึก “เสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีที่ทหารหลายพันคนต้องยอมวางโล่ กระบอง และอาวุธทุกอย่างที่มี ยอมแพ้ต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เวลานั้นยังไม่ปรากฏว่ามีกองกำลังติดอาวุธ ถูกผู้ชุมนุมยึดอาวุธ สั่งการไล่ต้อนให้เดินแถวออกสู่ทุ่งนา” และน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพกู้ศักดิ์ศรีคืนด้วยยุทธการ “ขอคืนพื้นที่” ในวันรุ่งขึ้น

– บ่ายวันนั้น นับหนึ่งการสูญเสีย ประชนเสียชีวิตรายแรกของการชุมนุม

ส่วนใหญ่คิดว่า เหตุปะทะวันที่ 10 เมษาและ ทำให้มีคนตายมากมายนั้นเกิดในช่วงค่ำ แต่อันที่จริงแล้ว เค้าลางการสูญเสียมีตั้งแต่ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ตรงจุดปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ วันดังกล่าวมีจุดที่ทหารและผู้ชุมนุมเผชิญหน้ากันในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นแยกวังแดง สะพานชมัยมรุเชษฐ หน้ากองทัพภาค1 สนามม้านางเลิ้ง ถนนดินสอ เป็นต้น

“เกรียงไกร คำน้อย” คนขับตุ๊กๆ วัย 23 ปี คือผู้ชุมนุมรายแรกที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บที่สะพานมัฆวานฯ ตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา ข้อมูลจากศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ระบุว่าถูกยิงที่สะโพกด้วยอาวุธสงคราม กระสุนฝังในช่องท้อง ต่อมาในปี 2557 ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการตายว่า กระสุนดังกล่าวมาจากฝั่งทหาร

ข่าวสด รายงานเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” 10 เมษายน 2553

– แก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ ยิงสนั่นสลายชุมนุมในเวลากลางคืน

16:00น. ในวันนั้น เฮลิคอปเตอร์ เริ่มโปรยแก๊สน้ำตา บริเวณถนนราชดำเนิน แบ่งเป็น 2 ชุด มีผู้เสียชีวิตจากการโปรยแก๊สน้ำตาดังกล่าวด้วย นั่นคือ ในมนต์ชัย แซ่จอง โดยญาติผู้เสียชีวิตระบุว่ามนต์ชัยอยู่ในพื้นที่ชุมนุมโดยมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว และเมื่อโดนแก๊สน้ำตาที่โปรยต่อเนื่องมาจากเฮลิคอปเตอร์ทำให้เขาเริ่มมีอาการราว 1 ทุ่ม หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติจนต้องส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในช่วงกลางดึกคืนนั้น

หลังการโปรยแก๊สน้ำตา มีการเริ่มต้นใช้กระสุนยางในช่วงเย็น กระสุนยางแม้ไม่มีผลถึงแก่ชีวิตแต่ก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ หนุ่มวัย 24 ปี ที่วิ่งหลบกระสุนในบริเวณดังกล่าวและโดนกระสุนยางเข้าที่ตาข้างขวาทำให้ตาบอดนับแต่นั้นเป็นต้นมา

– คนตายมีใบหน้า คนถูกฆ่ามีชีวิต

มีรายงานข่าวหลายแหล่งระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการ M67 ที่ถูกโจมตีตอบโต้กลับในคืนวันดังกล่าว ขณะที่ประชาชนนั้นส่วนใหญ่เสียชีวิตจากกระสุนและทยอยเสียชีวิตตั้งแต่ เวลา 19:00น. เป็นต้นมา

โดยผู้เสียชีวิต ที่พลเรือน ถูกระสุนยิงที่หัว ประกอบด้วย สวาท วางาม – อำพน ตติยรัตน์ – ยุทธนา ทองเจริญพูลพร – ไพรศล ทิพย์ลม – บุญธรรม ทองผุย – ทศชัย เมฆงามฟ้า – วสันต์ ภู่ทอง – สมิง แตงเพชร – มานะ อาจราญ

ส่วนพลเรือนที่ถูกยิงที่หน้าอกและท้อง ประกอบด้วย เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ – จรูญ ฉายแม้น – คะนึง ฉัตรเท – ธวัฒนะชัย กลัดสุข – ฮิโรยูกิ มุราโมโต (นักข่าวชาวญี่ปุ่น) – เกรียงไกร คำน้อย – สยาม วัฒนนุกูล – สมศักดิ์ แก้วสาน – นภพล เผ่าพนัส

ด้าน “มนต์ชัย แซ่จอง” เสียชีวิตจากอาการหัวใจเฉียบพลัน หลังโดนแก๊สน้ำตา อนันต์ สริริกุลวาณิชย์ (กระสุนที่คอ) และ บุญจันทร์ ไหมประเสริฐ (หัวเหน่า)

นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 5 พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม (รองเสนาธิการ พล.ร.2 รอ.) – พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ – พลทหารอนุพงษ์ เมืองรำพัน – พลทหารสิงหา อ่อนทรง – พลทหารอนุพล หอมมาลี

– ชายชุดดำ เสื้อสีอะไร?

ภาพชายชุดดำที่มักปรากฏซ้ำๆ บนหน้าสื่อในช่วงที่หมอกควันเหตุการณ์ยังไม่จางนั้นอาจอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ต่อมาปี 2555 ข่าวสด เคยสัมภาษณ์บุคคลในภาพดังกล่าวว่าเป็นคนเก็บของเก่าที่เข้าร่วมชุมนุมกับ นปช.ด้วย และ ไม่ได้เป็นชายชุดดำที่เปิดฉากตอบโต้ทหารแต่อย่างใด

ในด้านคดีความนั้น “คดีชายชุดดำ” ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คนหนึ่งในนั้นเป็นหญิง ผู้ต้องหาหลายรายมีการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ระบุว่า พวกเขาถูกซ้อมในกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้องคดีแรก คือ คดีครอบครองระเบิดเตรียมคาร์บอม

ส่วนคดีครอบครองอาวุธนั้น ศาลพิพากษาเมื่อเดือนมกราคม 2560 ยกฟ้อง 3 ราย อีก 2 รายมีความผิดฐานครอบครองอาวุธสงคราม ลงโทษจำคุกรายละ 10 ปี โดยศาลไม่เชื่อว่าผู้ต้องหารับสารภาพ ในชั้นสอบสวนเพราะถูกเจ้าหน้าที่ซ้อม อย่างไรก็ตามศาลสั่งให้ขังจำเลยทั้งหมดไว้ระหว่างอุทธรณ์ โดยจำเลยทั้งหมดถูกจำคุกมาตั้งแต่กันยายน 2557

– ไต่สวนการตายแล้ว 7 ศพ ศาลสั่งกระสุนมาจากฝั่งทหาร 3 ศพ

การไต่ชันสูตรพลิกศพ หรือที่เรียกภาษาปากว่า “ไต่สวนการตาย” นั้นเป็นกระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 เพื่อให้ศาลสั่งเบื้องต้นว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์การตายเป็นอย่างไร ใครกระทำจากนั้นอัยการรวบรวมสำนวนหลักฐานจากพนักงานสอบสวนก่อนส่งฟ้องเป็นคดีอาญา

เท่าที่ทราบจากรายงานข่าว พบว่า มีการไต่สวนการตายแล้ว 7 ราย โดยศาลสั่งว่ากระสุนที่สังหารผู้ตายมาจาก “ฝั่งทหาร” แต่ไม่ทราบผู้ยิงที่แน่ชัด จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายเกรียงไกร คำน้อย, นายจรูญ ฉายแม้น, นายสยาม วัฒนนุกูล ส่วนอีก 4 รายศาลสั่งว่าไม่ทราบผู้ยิงและไม่ทราบว่ากระสุนมาจากทิศทางใด ได้แก่ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต, นายวสันต์ ภู่ทอง, นายทศชัย เมฆงามฟ้า, นายมานะ อาจราญ (ถูกยิงในสวนสัตว์ดุสิตด้วยกระสุนความเร็วสูง)

– มีผู้ถูกฆ่า และใคร? คือคนฆ่า?

จากปรากฏการณ์ Big Cleaning Day ที่เกิดขึ้นในวันที่ 23 พ.ค. หลังสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ 4 วัน นำโดยผู้ว่าฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ศปช.วิจารณ์ว่าอาจเป็นการทำลายพยานหลักฐานที่อาจหลงเหลืออยู่ได้นั้น

ด้านการดำเนินคดี ขณะที่ประชาชนผู้ชุมนุมถูกดำเนินคดีเกือบ 2,000 คน ส่วนใหญ่เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีจำนวนหนึ่งที่เป็นคดีอาวุธและคดีเผาศาลากลาง หลายรายถูกจำคุกมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน โทษสูงสุดของคดีเผาศาลากลางที่ศาลพิพากษาคือ จำคุกตลอดชีวิตในกรณีของอุบลราชธานี

ในส่วนของการดำเนินคดีกับกองทัพและผู้นำรัฐบาลหรือผู้เกี่ยวข้องในการสลายการชุมนุมนั้น เคยมีญาติของนายพัน คำกอง ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม(พ.ค.2553) ร่วมกับนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่ถูกทหารยิงแต่รอดชีวิต

ร่วมกันเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายาม ฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 80, 83, 84 และ 288 จากกรณีที่ ศอฉ. มีคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ในการขอคืนพื้นที่จากการชุมนุมของ นปช. ระหว่าง เม.ย.-พ.ค. 2553

คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่อัยการยื่นฟ้อง ส่วนคดีอื่นๆ สำนวนยังคงค้างอยู่ที่ดีเอสไอ อย่างไรก็ตาม คดีตัวอย่างนี้ทั้ง ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ต่างก็ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง โดยศาลชั้นต้นระบุเหตุผลว่า เหตุเกิดในช่วงทั้งสองยังดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีจึงอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า เรื่องฟังไม่ได้ว่าทั้งสองกระทำในฐานะส่วนตัว ถือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้มูลความผิดและยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดีเอสไอไม่มีอำนาจในการสอบสวน

ต่อมา ป.ป.ช.ก็มีมติว่า ฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป

ล่าสุด ญาติที่เป็นโจทก์ร่วมยังคงฎีกาต่อ และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามาราว 1 ปีแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีคำพิพากษา

ซึ่งทางเว็บไซต์ประชาไท ให้ความเห็นว่า นี่เป็นเพียงคดีที่มุ่งฟ้องผู้นำรัฐบาลในเวลานั้น โดยที่ “กองทัพ” ยังไม่เคยก้าวมาสู่ปริมณฑลของ “จำเลย” ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์ประชาไท


ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน