ประชาชน 14 จังหวัดใต้ “ไม่ปลื้ม” มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ – ค่าครองชีพสูง

วันที่ 1 ก.ย. 62 ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนใน 14 จังหวัดภาคใต้ 420 ตัวอย่าง ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ก.ค. ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

“ปัจจัยลบส่วนหนึ่งมาจากรายได้ภาคเกษตรที่ลดลงจากราคายางพาราที่ตกต่ำ ราคาผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตพร้อมกันในเดือน ส.ค.มีราคาตกต่ำ แตกต่างจากช่วงเดียวกันของปี 61 ซึ่งไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเกษตรกร”

ผศ.ดร.วิวัฒน์ เปิดเผยว่า ปัจจัยภายนอกคือสภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากสถานการณ์ตอบโต้มาตรการกีดกันทางการค้าของรัฐบาลจีนกับสหรัฐ จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การปรับลงค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าที่สุดในรอบ 11ปี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลุกลามสู่สงครามการเงินและสงครามการค้าของทั้งสองประเทศ

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจได้กำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นไปตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจ ได้ออกมาตรการ 3 ด้าน ทั้งการพักชำระหนี้ และลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเวลา 1 ปี ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งใน 13 จังหวัด กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนผ่านมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ชิม ช้อป ใช้ โดยจะแจกเงินให้กับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป คนละ 1 พันบาท เพื่อไปใช้จ่ายในการท่องเที่ยว และ มาตรการด้านค่าครองชีพ โดยการให้เงินแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุ และผู้มีบุตร

โดยประชาชนมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเป็นส่วน ๆ ไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคใต้ ที่ซบเซาให้กลับมาได้ เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจภาคใต้ที่ตกต่ำมาเป็นเวลานาน จนเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งระบบและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจภาคใต้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง

ผศ.ดร.วิวัฒน์ เปิดเผยอีกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นที่ปรับตัวลดลงในด้านการแก้ปัญหายาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ เช่นโจรใต้ปล้นร้านทองครั้งมโหฬารมูลค่ากว่า 85 ล้านบาท ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา คนร้ายวางระเบิดพร้อมกันหลายจุดที่ จ.ยะลา

ปัญหาความขัดแย้งยังไม่คลี่คลาย เหตุการณ์การก่อความไม่สงบยังคงมีอยู่ มีการปรับยุทธวิธีและสถานที่ก่อเหตุที่เปลี่ยนไป ซึ่งสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อการลงทุนและการเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 34.70 และ รายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.80 รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 39.70 และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.30

ความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29.40 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.60 และการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.80 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำร้อยละ 30.40 รองลงมา คือ ค่าครองชีพ ร้อยละ 25.40 และ ราคาสินค้าสูง ร้อยละ12.30

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่า ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนมองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน