กมธ.เปิดสอบ-มือแจ้งความคสช.
“ผมไปไม่ถึงหรอกครับข้างบนน่ะ ผมแค่เฟืองเล็กๆ….. หากมีหนังสือมอบแล้ว มันไม่มีโอกาสใช้ดุลพินิจเลย มันเป็นคำสั่ง”
หมายเหตุ : สำนักข่าวบีบีซีไทย เผยแพร่ คำชี้แจงฝ่ายกฎหมาย คสช. ต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กรณีดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมือง
● คดีหมิ่น : ไผ่ ดาวดิน นำทีม กมธ.ซักอดีตมือแจ้งความคสช. คดีความมั่นคง
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ตั้งคำถามต่อนายทหารที่เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเขาตามมาตรา 112 ใช้ดุลพินิจอะไรในการแจ้งความดำเนินคดีกับเขา
“ชีวิตผมหายไปนาน แต่เพื่อความกระจ่างผมขอคำถามเดียว ใครเป็นคนสั่งขังผมครับ” นายจตุภัทร์ถาม
“ศาลครับ” คือ คำตอบเพียงวลีเดียวที่หลุดจากปาก พ.อ.พิทักษ์พล ชูศรี หรือ เสธ.พีท ผบ.กรมทหารพรานที่ 22 ในฐานะอดีตหัวหน้าฝ่ายข่าวกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดขอนแก่น (กกล.รส.จ.ขอนแก่น) ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายจตุภัทร์
อย่างไรก็ตาม พ.อ.พิทักษ์พลได้เล่าย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ธ.ค. 2559 ว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่เห็นข้อความที่นายจตุภัทร์แชร์ เพราะในหน่วยข่าวจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สันติบาลและส่วนอื่นๆ ในฐานะที่เป็นผบ.ร้อย ก็ได้รับข้อมูลจากทีมงาน
“พอผมเปิดดูแล้ว ก็ต้องไปรายงานและสอบถามไปยังฝ่ายกฎหมายว่าจะเอาอย่างไร ผู้บังคับบัญชาก็มีดุลพินิจมา” และ “ตอนนั้นผมกับน้องไผ่ก็ไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ผมก็ไปแจ้งความตามขั้นตอนในฐานะเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยและในฐานะประชาชน เมื่ออ่านแล้วเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมก็ไปแจ้งความ แต่ไม่ขอก้าวล่วงเรื่องคดี และบัดนี้น้องก็เป็นอิสรภาพแล้ว” พ.อ.พิทักษ์พลกล่าว
ไผ่ ดาวดิน เป็นอดีตผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีแชร์บทความพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ของบีบีซีไทย ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนได้รับอิสรภาพเมื่อ 11 พ.ค. 2562 เพราะได้รับพระราชทานอภัยโทษ รวมระยะเวลาที่ถูกจองจำอยู่ 2 ปี 6 เดือน จากโทษเต็ม 5 ปี
ระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนาย ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นประธาน ช่วงเช้าวันนี้ (27 พ.ย.) ไผ่ ดาวดิน ในฐานะเลขานุการประจำ กมธ.กฎหมายฯ เผชิญหน้ากับ 2 นายทหารผู้มีบทบาทสำคัญในการร้องทุกข์กล่าวโทษเขา และเพื่อนนักกิจกรรมการเมืองหลังรัฐประหารปี 2557 นอกจากพ.อ.พิทักษ์พล ยังมี พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และผู้ชำนาญการสำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4) ในฐานะอดีตฝ่ายกฎหมาย คสช.
วาระสำคัญในการประชุมนัดนี้คือ การพิจารณากรณีการดำเนินคดีของรัฐต่อประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยมีตัวแทนนักกิจกรรมการเมืองและประชาชนเข้าร้องเรียน 10 ราย และตัวแทนรัฐเป็นผู้ชี้แจง 2 ราย ใช้เวลาประชุมนาน 3 ช.ม. โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านแฟนเพจ กมธ.กฎหมายฯ ตลอดเวลา
● ยอมรับจับ “คนดัง” ก่อน หากแชร์ข้อมูลผิดกฎหมาย
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ อนค. และอดีตนักศึกษา “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ซึ่งเป็น “เพื่อนร่วมคุก” ของไผ่ ในคดีชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ครบ 1 ปี ได้ใช้สิทธิกมธ. กฎหมายฯ โยนคำถามใส่ 2 นายทหารว่ามีผู้แชร์บทความของบีบีซีไทยกว่า 3 พันคน เหตุใดจึงมีเพียง 2 คนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112
อีกมุมหนึ่งของห้อง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตนักศึกษา “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ซึ่งมาในฐานะผู้ร้องเรียน ได้ตั้งข้อสังเกตในการดำเนินคดีกับนายจตุภัทร์ และ น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ หรือการ์ตูน ว่า “ล้วนแล้วแต่เป็นนักกิจกรรมการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช.” และ “หลายครั้งต่อให้เป็นการวิจารณ์ คสช.แต่เรามันจะถูกพ่วงคำว่าล้มเจ้ามาด้วย”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.บุรินทร์ออกตัวว่า เขาไม่เกี่ยวข้องกับคดีแชร์บทความของบีบีซีไทย แต่ในภาพรวมเราจะดูได้ว่าใครแชร์ และเรารู้จักใครบ้าง “ถ้าท่านโรมไปแชร์ ฝ่ายข่าวต้องรู้เพราะท่านเป็นคนดัง แต่ถ้าเป็นคนอื่น หรืออวตาร เป็นตัวที่สร้างมาปลอมๆ เกิดเหตุอย่างนี้เยอะมาก กว่าจะพิสูจน์ตัวตนได้ก็ยาก การกล่าวโทษหรือสอบสวนใครต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิดจริง ซึ่งตัวผมไม่ได้ทำคดีนี้ เป็นเรื่องของ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)”
นอกจากคดี ไผ่ ดาวดิน ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาร้องเรียนต่อกมธ.กฎหมายฯ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีหลังรัฐประหารโดย คสช. พบว่ามีการใช้อำนาจทั้งตาม “กฎหมายพิเศษ” และ “กฎหมายปกติ” ดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116, คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
บีบีซีไทยสรุปบางคำถาม-คำตอบ ข้อสังเกต – ข้อโต้แย้ง ที่เกิดขึ้นในระหว่าง “ผู้แจ้งความ” เผชิญหน้าและถูกซักฟอกโดย “ผู้ต้องหา- จำเลย-อดีตผู้ต้องขัง” ร่วมกับ “ผู้แทนราษฎร” ณ ห้องประชุม กมธ. ภายในอาคารรัฐสภา
● บุรินทร์แจง “เป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ” ทำตามคำสั่งนาย
พล.ต.บุรินทร์ออกตัวว่า เขาอยู่ในฐานะ “ผู้รับมอบอำนาจ” จากคสช. ให้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ และไม่ได้เป็น “ผู้ปฏิบัติ” ที่มีหน้าที่ติดตามบุคคล จึงไม่อาจตอบได้ทุกคำถาม เช่นคำถามที่ว่ามีเลือกตั้งแล้ว ทำไมประชาชนและนักกิจกรรมการเมืองยังถูกทหารตำรวจติดตามอยู่
ในการดำเนินคดีการเมืองและความมั่นคงหลังรัฐประหารปี 2557 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนกองกำลัง มอบหมายให้ ผบ.กองกำลังต่างๆ มีอำนาจสั่งการ “หน่วยล่าง” เช่น ผบ.กองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย โดยมีคำสั่งจากแม่ทัพภาคในฐานะ ผบ.พล ถ่ายทอดมาโดยลำดับ
ส่วนขึ้นกับสำนักงานเลขาธิการ คสช. มี ผบ.ทบ ในฐานะเลขาธิการคสช. เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นไปตามดุลพินิจของคสช. หากจะแจ้งความดำเนินคดีกับใครในกรุงเทพฯ ก็จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่รับมอบอำนาจดำเนินการแทน โดย พล.ต.บุรินทร์รับผิดชอบคดีการเมือง ส่วน พล.ต.วิจารณ์ จดแตง รับผิดชอบคดีอาวุธสงครามและการก่อการร้าย
พล.ต.บุรินทร์ระบุว่า เมื่อมีเหตุการณ์ฝ่ายข่าวจะแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เสนอไปยังคสช.ให้ใช้ดุลพินิจ เมื่อคสช.เห็นอย่างไรถึงมอบอำนาจลงมา พร้อมพยานหลักฐานต่างๆ
“ผมทราบจากสำนักเลขาฯ ผมไปไม่ถึงหรอกครับข้างบนน่ะ ผมแค่เฟืองเล็กๆ” พล.ต.บุรินทร์กล่าว
นายพลผู้เป็น “มือแจ้งความ” ของคสช. ถูกตั้งคำถามต่อไปว่าสถานภาพของเขาเปรียบเหมือน “บุรุษไปรษณีย์” ที่นำความจากผู้บังคับบัญชาไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษประชาชน หรือสามารถโต้แย้ง-ใช้ดุลพินิจทางกฎหมายได้บ้าง
“หากมีหนังสือมอบแล้ว มันไม่มีโอกาสใช้ดุลพินิจเลย มันเป็น คำสั่ง” เขาตอบ
ถ้าเช่นนั้นใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนหากมีคดีความขึ้นมา พล.ต.บุรินทร์ตอบเลี่ยงๆ ไปว่า คสช.เป็น ผู้พิจารณาร่วมกัน และให้เลขาธิการคสช.ไปดำเนินการต่อ ซึ่งเลขาฯ ก็เปลี่ยนมาหลายคนตามวาระผบ.ทบ. จากนั้นจึงไปที่สำนักงานเลขาธิการ คสช.เรื่องถึงจะมาถึงเขา
ส่วนที่ปรากฏข้อมูลในโลกออนไลน์ว่าฝ่ายกฎหมาย คสช.รายนี้แจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนมาแล้ว 200-300 คดี พล.ต.บุรินทร์ชี้แจงว่าตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมคดียาเสพติด คดีผู้มีอิทธิพล และอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะคดีการเมืองเท่านั้น
● ทหารไม่เคยผลักประชาชนเป็นศัตรู
อีกคำถามที่เกิดขึ้นคือ คสช. ใช้ “กฎหมายปิดปาก” ผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือไม่ เพราะคนที่ถูกดำเนินคดีล้วนเป็นคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ขณะที่คดีความที่ประชาชนฟ้องเอาผิดหน่วยงานที่สร้างข่าวปลอม หรือ IO กลับไม่มีความคืบหน้า
พล.ต.บุรินทร์ยืนยันว่า ส่วนตัวไม่เคยไปข่มขู่ไม่ให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว แต่เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นถึงได้รับมอบอำนาจให้ไปแจ้งความดำเนินคดี “เมื่อเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผมก็ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติก็มีความผิด”
เวลาพูดถึงฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ส่วนตัวไม่เคยมองท่านเป็นศัตรูหรืออะไร เป็นพลเมือง เป็นพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน “เราไม่มีการผลักประชาชนให้เป็นศัตรูกับเรา ไม่มีประเทศไทย รัฐไหน หรือทหารที่ไหนผลักประชาชนเป็นศัตรู กองทัพต้องอยู่กับประชาชนอยู่แล้ว” ส่วนการไปแจ้งความดำเนินคดี ถือเป็นเรื่องที่ต้องไปติดตามจากพนักงานสอบสวน ไม่เคยมีคำสั่งว่าต้องดำเนินคดีใครหรือไม่
● จากเปิดศาลเที่ยงคืนฝากขังน.ศ. ถึงดำเนินคดีอาญากับ ธนาธร
ในห้วงครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร เกิดเหตุการณ์ “เปิดศาลถึง เที่ยงคืน” เพื่อฝากขัง 14 นักศึกษา ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และมาตรา 116 จนเกิดเสียงวิจารณ์ไปทั่ว และนำมาสู่คำถามอีกครั้งในวง กมธ. นี้
พล.ต.บุรินทร์ชี้แจงว่า ขณะนั้นมีหมายจับแล้วจึงตามไปจับกุม โดยได้ประสานงานกับศาลทหารกรุงเทพตั้งแต่ช่วงบ่ายว่าจะดำเนินการจับกุม แต่เนื่องจากมีมวลชนมาก ทำให้ควบคุมลำบากและอาจเกิดเหตุรุนแรง จึงขอศาลให้อยู่รอ “เป็นการเปิดศาลอย่างต่อเนื่อง” กว่าจะไปโรงพัก มีญาตินักศึกษาไปเยี่ยม เอาตัวไปส่งศาลได้ก็ราว 20.00-21.00 น. เมื่อไปถึงก็มีกระบวนการซักถามของศาล ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ฝากขัง เวลาจึงล่วงเลยไปตามที่ปรากฏเป็นข่าว
คดีนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทำกิจกรรมหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และเกี่ยวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งต่อมาตกเป็นผู้ต้องหาคดีมาตรา 116 และให้ที่พักพิงผู้ต้องหาตามมาตรา 189 ทั้งนี้ พล.ต.บุรินทร์บอกว่า “ตอนนั้นท่านยังไม่ดัง ผมไม่รู้จักท่านเลย” ก็เป็นกลุ่มที่ไปติดตามอยู่หน้า สน.ปทุมวัน ตอน เจ้าหน้าที่เตรียมจับกุมนักศึกษาตามหมายจับ ปรากฏว่ามีการหลบหนี และมีการติดตามไปถึงอีกสถานที่หนึ่งที่ไปหลบกันอยู่ เป็นคดีที่มีคำสั่งให้ไปแจ้งความตั้งแต่ปี 2558 และได้ส่งมอบหลักฐานให้พนักงานสอบสวนหมดแล้ว จึงไม่ได้ไปติดตามต่อ กระทั่งปลายปี 2561 มีการตรวจสำนวน จึงได้รับมอบหมายให้ไปแจงความเพิ่มเติม
● กมธ. ถาม ตัวแทน คสช. ตอบ
ไผ่ ดาวดิน : ที่บอกว่าทหารเคียงข้างประชาชน แต่ที่ผ่านมามีประชาชน 929 คนถูกปรับทัศนคติ 572 คนถูกติดตามตัว 18 คนกล่าวหาว่าซ้อมทรมาน ฯลฯ อันนี้คือการทำเพื่อประชาชนหรือ
พล.ต.บุรินทร์ : ผมไม่รู้รายละเอียดแต่ละข้อเท็จจริง ถ้าท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ ทีตำรวจจับคนไปในเรือนจำเป็นหมื่นๆ ทำเพื่อประชาชนไหม ต้องแยกผู้กระทำผิดกับประชาชน ส่วนไหนที่เป็นพลเมืองปกติ เราก็ดูแลตามปกติไม่ว่าน้ำท่วมภัยแล้ง “จะไปบอกว่าส่วนแค่นี้กับประชาชน 70 ล้านคน ไม่ใช่แล้ว ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ผมเชื่อมั่น 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครไปยุ่งกับท่าน”
ไผ่ ดาวดิน : ทัศนคติที่ดีที่ไม่ทำให้โดนจับ คือทัศนคติ แบบไหน
พล.ต.บุรินทร์ : ผมอาจขออนุญาตยกตัวอย่างคดีเก่าแล้ว กรณีประเทศไทยเคยมีการขาดแคลนน้ำมัน ก็มีการออกกฎหมายห้ามกักตุนน้ำมัน ต่อมาน้ำมันไม่ขาดแคลนแล้วก็ยกเลิก เหมือนกัน ตอนนั้นประเทศต้องการความสงบ หัวคำสั่งที่ 3/2558 ก็เขียนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมีเลือกตั้ง คสช.เลิกไป ประเทศก็เข้าสู่ระบบการปกครองที่มีสภา มันเป็นห้วงๆ ลักษณะของช่วงเวลาว่าประเทศชาติต้องการอะไรในขณะนั้น
ไผ่ ดาวดิน : การปล่อยให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพ จะทำให้ประเทศไม่เกิดความสงบแบบไหน
พล.ต.บุรินทร์ : ขอแยกเป็น 2 ส่วน เรื่องการแสดงความคิดเห็น ใน ม.ธรรมศาสตร์ เวลามีจัดเสวนา เราก็ไปดู แต่เราไม่มีการดำเนินคดีต่างๆ เพราะเป็นเรื่องทางวิชาการ แต่การดำเนินคดีเกิดจากการออกมาบนพื้นที่สาธารณะ ทางท้องถนน ซึ่งมีความเปราะบาง อาจมีมวลชนอื่น แนวร่วมอื่น นี่เป็นจุดหลักที่เราแจ้งความดำเนินคดี
รังสิมันต์ : ประเด็นใหญ่วันนี้เป็นเรื่องดุลพินิจ ผมคงไม่ตำหนิท่าน เพราะบอกไม่ได้เกิดจากมูลเหตุจูงใจส่วนตัว แต่ท่านต้องไปให้การในฐานะพยานในคดีต่างๆ ถ้าท่านจะเปลี่ยนแปลงคำให้การก็ได้ ลองใช้ดุลพินิจของท่านดู แต่อยากถามว่าทุกครั้งที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ จับกุมคนต่างๆ เวลากลับบ้าน ท่านสามารถนอนหลับหรือไม่เมื่อฟังจากผู้ร้องซึ่งได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน
พล.ต.บุรินทร์ : การมาบอกให้ผมปฏิบัติหน้าที่และเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ากมธ. ใช้อำนาจแบบนี้จะเสียหายนะครับ เพราะผมต้องปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลง ใช้อารมณ์หลังมาพบท่านนะครับ
ภายหลังการประชุม กมธ.เสร็จสิ้นลง นายรังสิมันต์ แถลงว่า ทางผู้ร้องเตรียมเดินหน้าเพื่อนำไปสู่การเชิญตัว ผบ.ทบ. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาชี้แจงกับ กมธ.ชุดนี้ต่อไป