“บิ๊กป้อม”ป่วย ลาประชุมครม. “บิ๊กตู่” ชี้เรื่องปกติของคนอายุ 70 ยันใจถึงใจ โทร.คุยกันทุกวัน ย้ำ เลือกตั้งยังเป็นไปตามโรดแม็ป แต่อ้างกำหนดวันแน่นอนไม่ได้เพราะบ้านเมืองยังวุ่นวาย บอกยังไม่รู้จะลงชิงส.ส.หรือไม่ ครม.เด้ง “ชาญเชาวน์”พ้นปลัดยุติธรรม นั่งผู้ตรวจสำนักนายกฯ ไฟเขียวบรรจุพยาบาลเป็นข้าราชการ 10,992 อัตรา แพทย์อีก 2,000 อัตรา สปท.เห็นชอบรายงานการรักษาความมั่นคงไซเบอร์ ระทึกปู่วัย 72 โดดนอนขวางรถ”อดุลย์” ร้องทุกข์เรื่องพินัยกรรม

4รมต.ลาประชุมครม.

เวลา 09.00 น. วันที่ 23 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เป็นประธานการประชุมคสช. โดยนายกฯมีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อถามถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ที่ไม่เข้าร่วมการประชุมวันนี้ได้ไปเยี่ยมอาการป่วยหรือยัง พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “เขาเป็นอะไร เขาลาบ้างไม่ได้หรือ” ก่อนจะเดินขึ้นตึกบัญชาการทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมครม.นัดนี้มีรัฐมนตรีที่ลาประชุม 4 ราย ได้แก่ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข และม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ

บิ๊กตู่สั่งกระทรวงชี้แจงผลงาน

เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงผลงานหลังครบรอบ 3 ปี คสช.ว่า ตนพยายามชี้แจงทุกเรื่อง ในที่ประชุมครม.เน้นย้ำทุกกระทรวงว่าให้นำผลงานที่ทำมาชี้แจงต่อเนื่องเชื่อมโยงว่าสิ่งที่ทำวันนี้ใครได้ประโยชน์ ถ้าพูดถึงหลักการหรือมาตรการอย่างเดียวอาจไม่เข้าใจเพราะรัฐบาลต้องทยอยให้ความช่วยเหลือ ถ้าทุกคนมุ่งหวังอยากได้งบประมาณสูงสุดอย่างเดียวเพื่อนำมาพัฒนาพื้นที่ตัวเองคงยากเพราะรัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน ถ้าให้ทำพร้อมกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกอย่าง จะไม่ปล่อยให้กลับไปเหมือนเดิม โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม ไม่ใช่ใช้งบประมาณแบบไม่มีคุณค่า และก่อนแถลงผลงานอย่างเป็นทางการจะมีการชี้แจงทำความเข้าใจถึงระบบและงานต่างๆ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ครบรอบ 3 ปี ไม่อยากให้ความสำคัญมากนัก หากเราให้ความสำคัญกับการครบรอบ 3 ปีจะมีผลกระทบกับการทำงานอื่นๆ ด้วย เพราะอย่างไรเราก็อยู่ตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ แต่คสช. รัฐบาล ต้องขอบคุณประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้เวลาโอกาสทำงานจนครบรอบ 3 ปีและเป็นไปได้ด้วยดี หลายอย่างที่แก้ไขได้และที่ยังแก้ไขไม่ได้ ปัญหาที่สลับซับซ้อนก็ต้องใช้เวลาที่มีอยู่ดำเนินการแก้ให้เป็นผลสำเร็จให้ได้ อย่างน้อยเริ่มต้นได้ บางอย่างที่จะให้เกิดความยั่งยืนก็ต้องใช้เวลานาน ต้องขอบคุณสนับสนุนรัฐบาลและคสช.เพราะจะเห็นว่าปัญหาต่างๆ มีอยู่อีกมากมาย ใช้เวลามา 3 ปีแก้ได้ระดับหนึ่ง

เสียงอ่อย-ยังไม่รู้ลงเลือกตั้งหรือไม่

เมื่อถามถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง นายกฯ กล่าวว่า ทำไมจะต้องถาม จำเป็นต้องชัดเจนถึงขนาดนั้นเลยหรือ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ตามโรดแม็ปที่วางไว้ ซึ่งในโรดแม็ปไม่ได้ระบุวันที่ไว้ เช่นเดียวกับการทำงานก็ไม่สามารถกำหนดไว้ในโรดแม็ปว่าจะต้องเป็น วันไหน เพียงแต่กำหนดปีไว้ และหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ต้องขยับออกไป เช่น กรณีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ถ้าไม่มีก็คงเร็วกว่านี้ ทุกอย่างยังเดินหน้าตามโรดแม็ปที่วางไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อถามว่ามีหลายคนสอบถาม พล.อ. ประยุทธ์ จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ปรากฏว่าครั้งนี้นายกฯ ตอบผิดไปจากทุกครั้ง จากที่ปกติจะปฏิเสธเสียงแข็งแต่ครั้งนี้ตอบแบบว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่รู้ ไม่รู้”

ยังวุ่นวายก็กำหนดวันเลือกตั้งไม่ได้

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงคือถ้าบ้านเมืองยังเป็นอยู่แบบนี้ ทั้งการวางระเบิด การใช้อาวุธสงคราม การทำให้เกิดความขัดแย้งในภาคประชาชน แล้วมีปัญหาเหมือนเดิมที่ผ่านมาจะเลือกตั้งกันได้หรือไม่ ตนกำหนดไปก็เท่านั้น อยู่ที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อเดินสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน อย่าให้รัฐบาลเป็นผู้กำหนดทั้งหมด ตนเคยบอกแล้วว่าเร็วที่สุดจะได้อย่างไร

“แต่ถ้าไม่ได้ประชาชนก็ต้องว่ากันมา ผมบังคับใครไม่ได้ในการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ขอร้องว่าอย่ามาอ้างกลับไปกลับมา เสียเวลาเปล่า รัฐธรรมนูญ กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ก็ยังเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง เว้นแต่บ้านเมืองไม่สงบสุข” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตนจะแก้ปัญหา จะทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในขีดความสามารถที่พยายามทุ่มเทให้มากที่สุด ร่วมกับทุกคนในคสช.และครม. ขอฝากส่วนราชการทุกคนที่เข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจอยู่แล้วทั้งข้าราชการรุ่นเก่าและใหม่ ซึ่งพยายามปรับตัวเข้าหากันและร่วมกันคิดพัฒนาประเทศ พวกตนอาจจะแก่และล้าสมัยไปบ้างแต่พยายามคิดแบบคนรุ่นใหม่ และหลายเรื่องก็ใช้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เพราะตนทำงานให้คนรุ่นใหม่ และรักษาสถานภาพคนรุ่นเก่าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้เข้าใจการทำงานต้องมียุทธศาสตร์ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว และอาจต้องแก้กฎหมาย และไม่ใช่สั่งได้ทุกอย่างด้วยมาตรา 44 มันใช้ได้แค่บางประเด็น และอย่ามองว่าเป็นเรื่องของการบังคับ เพียงแต่เราต้องการให้ทุกอย่างเดินหน้าได้

“บิ๊กป้อม”ป่วย-ปกติของคนอายุ 70

เมื่อถามถึงข้อสงสัยที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ลา ประชุมครม.ในช่วงนี้ นายกฯ กล่าวว่า ตน กับพล.อ.ประวิตร คุยโทรศัพท์กันทุกวัน พล.อ.ประวิตรลาไปทำธุระส่วนตัวตนทราบแค่นั้น เมื่อวันที่ 22 พ.ค.เพิ่งคุยกัน คุยกันทุกวัน ก่อนหน้านี้ก็ยังคุยกัน ตลอดทั้งสัปดาห์ก็คุยกันตลอด บางทีไม่ว่างก็ไม่เจอกัน

เมื่อถามว่าพล.อ.ประวิตร ป่วยเป็นอะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ท่านก็ไม่สบายเป็นปกติ ไว้พวกคุณอายุ 70 ปีแล้วค่อยมาบอกผมว่าสบายทุกวัน ขนาดผมอายุ 60 กว่าปีก็ยังไม่สบายบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ได้บอกใครเพราะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนต้องมาสนใจผม ใช้ให้ตาย พอใจกันหรือยัง” เมื่อถามว่าได้ไปเยี่ยมพล.อ.ประวิตร บ้างหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใจต่อใจถึงกันอยู่แล้ว อยู่กันมาเกือบทั้งชีวิต

ชี้เป็นการลาส่วนตัว

พ.อ.วินธัย สุวารี เป็นโฆษกคสช.และโฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคสช.ว่า นายกฯ ไม่ได้แจ้งที่ประชุมคสช.รับทราบเรื่องที่พล.อ.ประวิตร ลาราชการ เมื่อถามว่าพล.อ.ประวิตร พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตามที่มีข่าวหรือไม่ พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ไม่ทราบและที่ประชุมหารือกันเฉพาะเรื่องในวาระไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัตร ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แจ้งว่าพล.อ.ประวิตรลาประชุมด้วยสาเหตุอะไร ช่วงเช้านายกฯ ตอบคำถามเพียงสั้นๆ ว่าไม่รู้ว่าพล.อ.ประวิตรไปไหน คงลาไปเรื่องส่วนตัว ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประวิตรเข้าพักรักษาตัวหลังจากการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งตนก็ไม่ทราบ เลขาธิการครม.แจ้งในที่ประชุมว่าพล.อ.ประวิตรลาประชุมครม.เท่านั้น ซึ่งเป็นการลาปกติ ไม่ได้ลาราชการเป็นการลาส่วนตัว จึงไม่ต้องมีหนังสือชี้แจง

พ.อ.อธิสิทธิ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์เน้นย้ำในที่ประชุมให้แต่ละกระทรวงเร่งประชาสัมพันธ์ผลงานในทุกสัปดาห์ที่มีการประชุมครม. โดยนายกฯ ระบุถึงแม้จะเน้นย้ำเรื่องดังกล่าวทุกสัปดาห์และทราบว่าเมื่อมีการชี้แจงผลงานแล้วประชาชนไม่รับฟัง แต่ละกระทรวงต้องพยายามพูดให้ประชาชนฟังให้ได้ ไม่ใช่ให้เรื่องมาที่นายกฯ คนเดียว

ครม.อนุมัติบรรจุพยาบาล

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุมครม.ว่า ครม.เห็นชอบการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐมีมติเห็นชอบ โดยอนุมัติอัตราบรรจุพยาบาล 10,992 อัตรา แบ่งเป็นบรรจุในอัตราที่ว่าง 2,200 อัตรา ส่วนที่เหลือ 8,792 อัตรา จะเฉลี่ยบรรจุปีละ 2,900 อัตรา โดยปี 2560 บรรจุ 2,992 อัตรา ในปี 2561 และปี 2562 บรรจุปีละ 2,900 อัตรา

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ครม.อนุมัติอัตราตั้งใหม่ของแพทย์และทันตแพทย์ เนื่องจากจำนวนของแพทย์และทันตแพทย์ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรเฉลี่ยหนึ่งหมื่นคน โดยให้บรรจุแพทย์ 2,000 อัตรา แบ่งเป็นอัตราตั้งใหม่ 779 อัตรา บวกกับตำแหน่งที่ว่าง 1,221 อัตรา ขณะที่ทันตแพทย์จบใหม่บรรจุ 600 อัตรา แบ่งเป็นอัตราตั้งใหม่ 70 อัตรา บวกกับตำแหน่งที่ว่าง 530 อัตรา สำหรับเภสัชกร ครม.ได้รับหลักการ แต่ นายกฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขกลับไปพิจารณาตัวเลขอัตรากำลังให้ชัดเจนเพราะอาจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากอัตรากำลังที่สำรวจพบว่าเภสัชกร 1 คน ต่อประชากร 6,200 คน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับตัวเลขที่กระทรวงตั้งไว้แล้ว จากนั้นเมื่อเกิดความชัดเจนให้เสนอครม.ขอความเห็นชอบต่อไป

พล.ท.สรรเสริญแถลงด้วยว่า ครม.เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอเห็นชอบในหลักการกรอบการเจรจาสนธิสัญญา 3 ประเภท ได้แก่ สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตาม คำพิพากษาคดีอาญา (สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ) และสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญากับประเทศอื่นๆ เช่น อาร์เจนตินา เวียดนาม ศรีลังกา คาซัคสถาน โรมาเนีย อิหร่าน เบลารุส ยูเครน ไอร์แลนด์ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีสนธิสัญญาเหล่านี้กับหลายประเทศแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส โปแลนด์ มาเลเซีย ลาว ฟิลิปปินส์

นายกฯลงพื้นที่สงขลา

พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า นายกฯ และคณะ ลงพื้นที่จ.สงขลาในวันที่ 24 พ.ค.นี้ โดยขึ้นเครื่องจากกทม.ในเวลา 07.00 น. จากนั้นเวลา 09.00 น. ไปปาฐกถาพิเศษเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ภาคใต้ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และช่วงบ่ายเยี่ยมชมตลาดเกษตรภายในม.อ. ต่อมาเวลา 14.30 น. นายกฯ มอบทุนให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับอนุมัติความช่วยเหลือด้านการเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงสินเชื่อเอสเอ็มอีจากอุทกภัยภาคใต้ และกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ ซึ่งมีผู้รับมอบทุน 30 ราย จากนั้นนายกฯ พบกับ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 800 ราย เพื่อมอบนโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอีของรัฐบาล กลับกทม.ในเวลา 18.00 น.

เด้ง”ชาญเชาวน์”พ้นปลัดยธ.

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม นายสุวพันธุ์กล่าวถึงครม.มีมติโยกย้ายนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มาเป็นผู้ตรวจการพิเศษ ประจำสำนักนายกฯ ว่า นายกฯ มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และการปฏิรูปการศึกษาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงเห็นควรให้นายชาญเชาวน์มาช่วยงานดังกล่าว ดังนั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จึงทำเรื่องขอตัวนายชาญเชาวน์มาช่วยงานตรงนี้และได้หารือกับนายชาญเชาวน์ แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ยินดี การโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นระบบปกติทางราชการ และนายชาญเชาวน์ถือเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ โดยที่ประชุมครม.ยังมีมติรับโอนนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมแทนด้วย

เจ้าตัวประชุมอยู่ที่เวียนนา

ส่วนบรรยากาศบริเวณชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ตั้งห้องทำงาน ของนายชาญเชาวน์ ภายหลังครม.มีมติ โยกย้ายทีมงานนายชาญเชาวน์ เริ่มทยอยกันเก็บเอกสารราชการต่างๆ พร้อมเคลียร์พื้นที่หน้าห้องทำงาน ส่วนนายชาญเชาวน์อยู่ระหว่างเดินทางไปปฏิบัติราชการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและกระบวน การยุติธรรมทางอาญา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และจะเดินทางกลับมาถึงในวันที่ 27 พ.ค. เมื่อผู้สื่อข่าวโทรศัพท์ติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ นายชาญเชาวน์ ปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์ถึงเร่องดังกล่าว

สำหรับนายชาญเชาวน์ หลังขึ้นเป็นปลัด ปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลทุกอย่าง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเลิกจ้างลูกจ้างชั่วคราวและลูกจ้างเหมาบริการ 2,000 อัตรา อาจสะท้อนการบริหารงานที่ไม่เตรียมการไว้ล่วงหน้าและอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นายชาญเชาวน์ ถูกศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ให้รอลงอาญา 2 ปี กรณีพ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องกรณีร่วมกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ใช้อำนาจโยกย้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มีบ้างใช้ม.44ออกกฎหมายปฏิรูป

นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวกรณีพล.อ.ประยุทธ์ ให้ทำบัญชีจัดลำดับกฎหมายเร่งด่วนปี 2560 ว่า ขณะนี้คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.) ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ได้ตั้งอนุกรรมการด้านต่างๆ ที่จะตอบโจทย์เรื่องการเสนอกฎหมายการขับเคลื่อนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ต่างๆ ซึ่งรายชื่อกฎหมายที่เสนอมาเกี่ยวกับการปฏิรูปควรผ่านระบบนี้ ถ้าเขาเห็นอย่างไรก็ให้เสนอมาที่รัฐบาล

เมื่อถามว่ามีกระบวนการดังกล่าวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เร่งรัดการออกกฎหมาย นายดิสทัตกล่าวว่า แนวทางของรัฐบาลชัดเจนว่ามาตรา 44 จะใช้แก้ปัญหาเร่งด่วนแต่เป็นมาตรการชั่วคราว หน่วยงานต่างๆ ต้องไป แก้กฎหมายให้เข้าสู่ระบบปกติแล้ว เสนอ สนช.ต่อไป

เมื่อถามว่ากฎหมายที่สปท.เสนอให้ออกด้วยมาตรา 44 มีที่เข้าข่ายหรือไม่ นายดิสทัต กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้กรองเพราะยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง เป็นเพียงจากข่าว เท่าที่สำรวจเราต้องตามกฎหมายต่างๆ ทราบว่าจะมีบ้างแต่ยังไม่ชัดเจน จึงยังบอกไม่ได้ว่าอันไหนจะเป็นอย่างไร

สปท.ดันกม.ไซเบอร์

ที่รัฐสภา ในการประชุมสปท. ที่มีน.ส. วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท.คนที่ 2 เป็นประธาน เพื่อรับทราบรายงานจากกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน เรื่องการปกป้องคุ้มครองและรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ด้านสารสนเทศของประเทศ

พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ.สื่อสารมวลชนฯ ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า กมธ.พบว่าความรู้ของบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทยมีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น วันนี้ไทยติดอันดับต้นๆ เป็นเป้าหมายทางผ่านการโจมตี ต่อไปการรับมือจะประสานทั้งภาครัฐและเอกชนเพราะภัยคุกคามต่อจากนี้คาดเดายาก ไม่ใช่ภัยที่เกิดจากมือสมัครเล่นอีกต่อไป แต่มีการ กระทำโยงใยเป็นเครือข่าย

“เราจึงเสนอจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับแผนยุทธศาสตร์ ขอให้รัฐบาลผลักดันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ…. ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว พร้อมผลักดันกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะเกี่ยวข้องการแก้ปัญหารับมือ เกี่ยวโยงกันทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ และรัฐต้องสร้างบริบทแวดล้อมให้เห็นว่า กฎหมายไม่ได้มุ่งล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน” พล.อ.อ.คณิต กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์ประกอบในรายงานนี้ได้วางยุทธศาสตร์ป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มสารสนเทศและโทรคมนาคม 2.กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน 3.กลุ่มพลังงาน 4.กลุ่มการขนส่งทางกายภาพ และ 5.กลุ่มบริการที่จำเป็นต่างๆ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาปฏิรูป 4 ระยะ ใช้เวลา 6 เดือน จากนั้นต้องเริ่มใช้นโยบายหรือแผนยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศด้านสารสนเทศ

ทั้งนี้ สมาชิกสปท.อภิปรายส่วนใหญ่ด้วยในหลักการและให้ความเห็นชอบ 141 ต่อ 1 งดออกเสียง 5 และส่งรายงานให้ครม.ต่อไป

ระทึก”ปู่72″โดดขวางรถ”อดุลย์”

วันที่ 23 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนประชุมครม.เกิดเหตุระทึกขึ้น มีชายสูงวัยคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังคือนายพร้อม บุญสืบ อายุ 72 ปี ชาวอุบลราชธานี กระโดดนอนขวางขบวนรถของพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) บริเวณทางเข้าทำเนียบ หน้าสะพานอรทัย เพราะคิดว่าเป็นขบวนรถของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯแลหัวหน้าคสช. เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยและทหารจึงเข้าคุมตัวและพาไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์บริเวณฝั่งก.พ.เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่แท้จริง

ชายคนดังกล่าวห้อยป้าย “คสช.ช่วยด้วย” พร้อมถือถุงขนมตาลและขนุน โดยบอกว่าจะเอามาฝากนายกฯและคสช. พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยภาษาภาคอีสานว่า “ต้องการมาร้องเรียนและขอความช่วยเหลือเรื่องพินัยกรรม”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อม อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ 6 ต.โพธิ์ศรี อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี อ้างถูกญาติพี่น้องปลอมพินัยกรรมที่พ่อแม่ยกที่ดินและบ้านให้ตัวเอง แล้วนำขายให้นายตำรวจคนหนึ่ง ร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วแต่ไม่มีการรับเรื่องทั้งที่มีเอกสารและพยานบุคคล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน