ยันโสด-ขู่ฟอง เปิด‘เซฟ’รมต. ฮือฮา-ปีติพงศ์ ‘เหล็กไหล’อื้อ
ยืนยันเรตติ้งยังดีไม่ได้ตก‘บิ๊กป้อม’ป้อง‘บิ๊กตู่’ชูทำงาน ดีมุ่งมั่นไม่มีบ่น พร้อมขู่ลั่น ฟ้องมือโพสต์กล่าวหามั่วใน โซเชี่ยลมีเดีย ลั่นยังเป็นโสด ชอบผู้หญิง สามารถคบหาใครก็ได้ ด้านประธานสนช. ‘พรเพชร’โวยเด็กปชป.กล่าวหาตั้งก๊วนเอาแต่ร้องเพลงไม่ปราบโกง ท้าให้ดำเนินคดีได้เลยถ้าละเลยหน้าที่ เปิดเซฟรัฐมนตรีหลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี ฮือฮาอุตตมรวยเพิ่ม 38 ล้าน ขณะที่ปีติพงศ์พบเหล็กไหลนับ 10 ชิ้น บิ๊กตู่ปลื้มเวทีเอซีดีไหลลื่น ซาอุฯส่งรมว.ต่างประเทศเข้าร่วมหลังมีปัญหาลุ่มๆ ดอนๆ มากว่า 20 ปี เตรียมสานสัมพันธ์กันใหม่

 

 

101016_jack_20161010_1746619355

ป้อมโต้ 33 สนช.ต่างตอบแทน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 10 ต.ค. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดใหม่ 33 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารว่า เพื่อไปผลักดันกฎหมาย พร้อมเพิ่มเติมในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดต่างๆ ซึ่งรายชื่อสนช.ชุดนี้ทุกคนมีความรู้ความสามารถ แต่ถ้าตนไปเอาใครก็ไม่รู้เข้ามาเป็น ก็จะตีกันวุ่นวายไปหมด ฉะนั้นต้องเอาคนที่มีประสบ การณ์และรู้จักเข้ามาเป็นสนช. ประกอบกับตนเคยเป็นสนช.มาแล้ว เคยผ่านกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
“ยืนยันว่าการแต่งตั้งสนช.ที่เป็นทหารไม่ได้เป็นการตอบแทนใดๆ เพียงแต่เอาคนที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพฯหรืออยู่ในเขตปริมณฑล มาประชุมได้ทุกครั้ง ไม่ใช่ไปตั้งคนที่ไม่เข้าประชุมมาเป็น แถมยังติดราชการ อย่างนี้ไม่ไหว ซึ่งการตั้งสนช.ครั้งที่แล้ว ทหารก็เยอะเพราะอยู่ในช่วงนี้ ขอให้รอจบโรดแม็ปก่อน มีการเลือกตั้งทุกอย่างก็จบ เราเดินตามรัฐธรรมนูญ” รองนายกฯกล่าว
เมื่อถามว่าสมาชิกสนช.ส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร อยู่ในกองกำลังสำคัญและตำแหน่งใหญ่ในกองทัพหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้ ถ้าอยากคิดอะไรก็คิดไป จะไปห้ามความคิดคนนั้นคนนี้ไม่ได้
ป้องเมียติ๊กบินซี 130 – ยันไม่ผิด
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สรุปเรื่องร้องเรียนนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา อดีตนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ภรรยาของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ใช้เครื่องบินซี 130 ของกองทัพอากาศไม่ผิด เพราะเป็นเรื่องวัฒนธรรมองค์กรว่า จะบอกว่าเป็นเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ตนมองว่าไม่ใช่ แต่เรื่องนี้กระทรวงกลาโหมทำเรื่องขอใช้เครื่องบินไปที่กองทัพอากาศว่า พล.อ.ปรีชา ปลัดกระทรวงกลาโหมขณะนั้นจะขอใช้เดินทาง แต่วันนั้นพล.อ.ปรีชาไปไม่ได้ จึงมอบคนอื่นไปแทน เรื่องก็เท่านี้ ไม่มีอะไร
เมื่อถามถึงโพลระบุคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.เริ่มลดลง พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า มีปัญหาก็น่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว ไม่น่ามีเรื่องอื่น ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าความนิยมของประชาชน ไม่น่าที่จะลดลง เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ทุ่มเทตั้งใจทำงานเพื่อประเทศ ตนไม่รู้ว่านายกฯเอากำลังที่ไหนเข้ามาทำงานโดยไม่เคยบ่น
ยันเป็นผู้ชายโสด-คบใครก็ได้
เมื่อถามว่าเป็นเพราะคนรอบข้างถูกโจมตีหรือไม่ที่อาจทำให้คะแนนนิยมลดลง พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน มีแต่คนนอกที่พยายามทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นประเด็นมากกว่า เป็นเรื่องที่คิดเอาเองทั้งนั้น อยากถามว่าคนทำสื่อโซเชี่ยลมีเดียมีกี่คน มีแค่คนเดียวเอง อยากพิมพ์อะไรก็พิมพ์ โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ถ้าจับกุมตัวได้เมื่อใด ตนจะฟ้องทั้งหมด เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้เข้าไปตรวจสอบทั้งหมดแล้วกับพวกที่ชอบบิดเบือน ทุกๆ เรื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการพุ่งเป้าไปที่เรื่องส่วนตัว รองนายกฯ กล่าวติดตลกว่า “เรื่องอะไร ใช่เรื่องผู้หญิงหรือไม่ ดีที่ผมไม่ไปยุ่งกับผู้ชาย ก็ผมเป็นโสด จะยุ่งกับใครก็ได้ ใช่ไหม ถ้าผมไปยุ่งกับผู้ชายคงฉิบหายกันพอดี ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย”
เมื่อถามว่ามีคนรู้ใจหรือยัง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เรื่องของตน อย่ามาถามเรื่องส่วนตัว ขอให้ถามเรื่องงานดีกว่า ตนตอบเรื่องจริงทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องใดที่โกหกเลย ถามมาอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

 

 

 

201610101213349-20061002145931
พท.จวกซ้ำสนช.ก็รับใช้คสช.
ด้านนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงรายชื่อ 33 สนช.ใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารว่า ไม่ใช่เรื่องผิดคาด เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการตั้ง สนช.เข้ามาใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหาร โดยคุมกำลังตั้งแต่ระดับกองพันไปจนถึงกองพล เพื่อหวังค้ำบัลลังก์อำนาจของรัฐบาล คสช. ทั้งนี้ สนช.ทำหน้าที่แทนสภา มีอำนาจเท่ากับ ส.ส. แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่า สนช.ไม่มีการตั้งกระทู้ถาม ไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเลย ทั้งที่หลายเรื่องมีความชัดเจน เช่น เรื่องฝาย เรื่องการจ้างงาน อผศ.ขุดลอกคลอง เป็นต้น ผลงานของ สนช.มีแต่การถอดถอนผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ออกกฎหมายเอื้อให้กับ ผู้มีอำนาจ ไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรให้กับประชาชนเลย
“เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนตั้งมาเองกับมือ ผมคงไม่คาดหวังอะไรจากการทำหน้าที่ของ สนช. เพราะ สนช.ไม่ได้มาจากประชาชน คงไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อประชาชน เขาคงทำหน้าที่ให้คนที่เขาตั้งมานั่นแหละ แต่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน” นายวรชัยกล่าว

พีระศักดิ์อ้างยังไม่ใช่เวลาสนช.
ที่รัฐสภา นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. คนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงนายสามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ตำหนิสนช.นิ่งดูดายไม่ยอมตั้งกระทู้ตรวจสอบการใช้งบฯ 20.9 ล้านบาท ของคณะพล.อ.ประวิตรไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-สหรัฐ ที่รัฐฮาวาย สหรัฐว่า ยืนยัน สนช.ไม่ได้นิ่งดูดาย แต่ตนไม่อยากตอบโต้ ส่วนที่บอกว่าถ้าเป็นสมัยสภาผู้แทนราษฎร จะตั้งกระทู้ตรวจสอบการใช้งบฯ ดังกล่าวนั้น ขอชี้แจงว่าตอนนี้เดินเข้าสู่โรดแม็ป ระยะที่ 3 หลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ พอเขียนกฎหมายลูกเสร็จแล้วใกล้เลือกตั้ง ถึงเวลานั้นค่อยถึงทีของส.ส. ตนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เดี๋ยวจะกลายเป็นคู่ สนช.ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่อยากเปรียบเทียบกับใคร เพราะเข้ามาทำหน้าที่ให้บ้านเมืองช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ทำงานอย่างเต็มที่เท่านั้น

พรเพชรปัดไม่ได้ร่วมคัดสนช.
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ออกมาวิจารณ์ว่า ว่าที่สมาชิก สนช.ที่ถูกแต่งตั้งใหม่ไม่มีความเหมาะสมกับงานว่า ตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ในกระบวนการ เอกสารรายชื่อที่เปิดเผยมาตนเห็นอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ไม่สามารถยืนยันได้ ซึ่งเป็นเอกสารที่เตรียมการเสนอโปรดเกล้าฯ ที่ทำขึ้นหรือเปลี่ยนแปลง ตนไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน เพราะอำนาจในการเสนอชื่อสมาชิกสนช.ใหม่ อยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีสิทธิ์เด็ดขาด สามารถเสนอชื่อบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ สนช.รวมทั้งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนการปฏิรูปของรัฐบาล
เมื่อถามว่าหัวหน้าคสช.ได้มาปรึกษาเรื่องรายชื่อสนช.ใหม่หรือไม่ นายพรเพชรกล่าวว่าไม่ได้ถามและไม่จำเป็นต้องปรึกษา คงต้องรอดูว่าเมื่อมีการโปรดเกล้าฯแล้ว ค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์สอบถามได้ เพราะขณะนี้เป็นเพียงรายชื่อที่อยู่ บนสมมติฐานเท่านั้น

โต้เด็กปชป.หาตั้งก๊วนร้องเพลง
นายพรเพชรยังกล่าวตอบโต้อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาเอาแต่ตั้งก๊วนร้องเพลงยามค่ำ ละเลยการปราบทุจริต ว่าในฐานะประธานสนช. ย่อมมีภารกิจและงานเลี้ยงต่างๆ บางวันก็มี 2 งาน การกล่าวหาตนถือว่าเป็นการพูดที่รุนแรงมาก ซึ่งการไปร้องเพลงนั้นก็ไปในโอกาสที่สมควรเท่านั้น ตนไม่จำเป็นต้องชี้แจงเรื่องส่วนตัวเหล่านี้เลย แต่ในเมื่อใช้ถ้อยคำรุนแรงกล่าวหาตน ก็จำเป็นต้องชี้แจง สำหรับการปราบปรามการทุจริตนั้นตั้งแต่ตนเข้ามาได้ตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องการทุจริตและมีการลงโทษทางวินัยข้าราชการการจำนวนนับ 10 ราย โดยเป็นการกระทำความผิดที่ค้างมาก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง เช่น การทุจริตการจัดซื้อนาฬิกา การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ บางเรื่องก็สอบสวนเสร็จและลงโทษไปแล้ว บางเรื่องก็อยู่ระหว่างการสอบสวนแต่บางเรื่องไม่พบความผิด
นายพรเพชรกล่าวต่อว่าเมื่อตนมารับตำแหน่งมีเรื่องการทุจริตการขนดินที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ก็ได้ดำเนินการและลงโทษข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ทำผิด รวมทั้งตั้งกรรมการสอบผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ตนทำแบบนี้แล้วจะมา กล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยไม่ปราบการทุจริตได้อย่างไร

ท้าเล่นงาน-อย่าพูดเลื่อนลอย
นายพรเพชรกล่าวว่า เรื่องที่กล่าวหาตนปล่อยปละละเลยให้ล็อบบี้ยิสต์ของพรรค การเมืองไปห้องเลขาฯ สภาผู้แทนราษฎรเพื่อติดต่อธุรกิจ ประสานประโยชน์ในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ให้สนช.อาวุโสบางคนนั้น ตนพบปะคนในสภา มากมายไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดังนั้นเรื่องนี้ต้องให้เลขาฯ เป็นผู้ชี้แจง ยืนยันว่าตนไม่มีวันที่จะหาผลประโยชน์จากกรณีนี้อย่างแน่นอน ใครทุจริตจะดำเนินการหมดทุกคน ซึ่งตนสั่งไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่รับเหมาในการก่อสร้างรัฐสภานั้นไม่ต้องมาพบตน หากมีอะไรให้ส่งหนังสือทำตามขั้นตอนราชการ และในวันปีใหม่ก็ไม่ต้องมีกระเช้ามาให้ตนด้วย นอกจากนี้ในเรื่องธรรมภิบาลการดูแลปกครองข้าราชการรัฐสภา และการโยกย้ายข้าราชการนั้น ขอชี้แจงว่า ตนไม่มีเรื่องไร้ธรรมาภิบาล การลงโทษใครก็เป็นไปตามการสอบสวนของคณะกรรมการ และการโยกย้ายข้าราชการตนไปยุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด เพราะมีกระบวนการ มีการประเมินคัดเลือก ไม่มีทางที่ประธานสนช.จะไปล้วงลูกได้ อีกทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายก็ยึดหลักอาวุโสมาโดยตลอด
“ผมรับราชการมา 38 ปี ไม่เคยถูกฟ้องจากศาลไหน หรือมีเรื่องร้องเรียนมาก่อน ผมขอท้าถ้าใครทุจริตแล้วผมไม่ดำเนินการขอให้เล่นงานผมได้เลย วันนี้ผมพูดมากหน่อยเพราะไม่เป็นธรรมกับผม พูดอย่างเลื่อนลอย มาพูดกับผมตรงไปตรงมา ถ้าข้องใจใคร ผมไม่ให้ความเป็นธรรมกับใคร คนนั้นเป็นที่รักของใครหรือไม่ ผมจะได้อธิบายให้ฟัง”นายพรเพชรกล่าว

มีชัยเตรียมนำกรธ.ส่งมอบรธน.
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงการส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ให้พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 11 ต.ค.ว่า กรธ.ทำร่างรัฐธรรมนูญมาด้วยกันก็จะไปส่งมอบเพื่อเป็นสักขีพยานร่วมกัน เชื่อว่าหากนายกฯมีข้อสงสัยคงจะถามจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ คงไม่มาซักกรธ. จากนี้ไปกรธ.จะตั้งหน้าตั้งตาทำกฎหมายลูก 4 ฉบับสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่เพิ่มรับฟังความเห็นของอนุกรรมการที่ตนอยากให้เรียบร้อยภายใน 15 พ.ย. จึงจะได้ทำร่างแรกของกฎหมายลูกว่าด้วยกกต.และพรรคการเมืองให้เสร็จ คาดว่ากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับนี้ กรธ.จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีกวัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้

วิษณุคาด3-9พย.ทูลเกล้าฯรธน.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีนายมีชัยระบุรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะได้ใช้ช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ว่า จะตอบอย่างนั้นไม่ได้ โดยวันที่ 11 ต.ค.นี้ กรธ.จะนำร่างรัฐธรรมนูญมาส่งให้รัฐบาล โดยรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบความถูกต้องของร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ขั้นตอนนี้จะนำมาเขียนในสมุดไทยเท่านั้น จะเขียนเสร็จเมื่อไรก็ยังไม่รู้

นายวิษณุกล่าวต่อว่ารัฐบาลมีเวลา 30 วัน น่าจะนำความขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายระหว่างวันที่ 3-9 พ.ย.นี้ จากนั้นจะโปรดเกล้าฯพระราชทานลงมาเมื่อไร รัฐบาลไม่สามารถไปกำหนดได้ พ้นจากขั้นตอนจากการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ไม่มีใครไปกำหนดวันแล้ว แต่เราพูดได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่น่าจะบังคับใช้ในเดือนพ.ย.นี้

เรืองไกรแนะสตง.ฟังรอบด้าน
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสตง.ตรวจสอบการใช้งบประมาณ 20.9 ล้านบาทในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-สหรัฐ ที่มลรัฐฮาวาย ของพล.อ.ประวิตร โดยระบุไม่พบความผิดปกติว่า นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสตง. ชี้แจงข้อเท็จจริงถือว่าชัดเจนตามหลักการตรวจสอบ ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะเป็นหลักที่ปฏิบัติกันมา อีกทั้งข้อมูลที่ผู้ว่าการสตง.ชี้แจงเป็นสิ่งที่ชัดเจนกว่าคำร้อง แต่ควรฟังมุมมองของผู้ร้องหรือสื่อที่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติมด้วย ส่วนมูลค่าการใช้จ่ายสูงเกินไปหรือไม่ จะทราบต่อเมื่อการบินไทยวางบิลมายังทำเนียบ สำนักนายกฯ หรือกระทรวงกลาโหม
เมื่อถามว่ามีข้อเรียกร้องจากหลายฝ่าย ให้สนช.ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวว่าเหมาะสมหรือขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ แต่สนช.กลับไม่ตั้งกระทู้ถาม นายเรืองไกรกล่าวว่าเรียกร้องเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ เพราะสนช.ไม่มีอิสระ เกรงใจคสช.และรัฐบาลเพราะเป็นผู้แต่งตั้ง การที่แม่น้ำ 5 สายไม่กล้าตรวจสอบจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและสนช.เองว่าปากพูดอีกอย่าง แต่ทำอีกอย่าง คือพยายามไล่ปราบทุจริต แต่ไม่มีการตรวจสอบเรื่องภายใน ซึ่งตนมองว่าหาก นายกฯหรือประธานสนช.จะให้กมธ.วิสามัญตั้งเรื่องตรวจสอบจะดีกว่าเงียบไปเฉยๆ

ถกค่าเสียหายจำนำข้าวเพิ่มล่ม
ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เป็นประธานการประชุมตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐทั้งระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ และเอกชนที่เกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนความเสียหายอีกร้อยละ 80 หรือวงเงิน 1.42 แสนล้านบาท ตามมติครม.เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่มอบให้ศอตช. เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานปราบปรามทุจริตตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมคือ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการศอตช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักนายกฯ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใช้เวลาประชุม 45 นาที
ต่อมาเวลา 15.30 น. พล.อ.ไพบูลย์กล่าวภายหลังการประชุมว่า ตนได้ยกเลิกการประชุมครั้งนี้ออกไปก่อน เนื่องจากผู้แทนของกระทรวงการคลังไม่ได้มาร่วมประชุม ส่วนสาเหตุที่ไม่มานั้นไม่ทราบ แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เราทำงาน ทั้งหมดจะต้องเป็นมติจากที่ประชุม เมื่อหน่วยงานหลักไม่มา ก็ไม่สามารถประชุมได้ ทั้งนี้ ตนจะรายงานพล.อ.ประยุทธ์ให้ทราบในที่ประชุมครม.

เรียกหารือใหม่-บี้ปลัดคลัง
“ผมได้ขอโทษที่ประชุม เพราะต้องการประชุมเป็นองค์คณะทำงาน ไม่ได้ออกจากความคิดผม ซึ่งผมทำงาน ผมจะพูดถึงมติของคณะกรรมการต่างๆ เพราะผมเคารพที่ประชุม ซึ่งมีองค์กรอื่น หน่วยงานอื่นทำงานด้วย ไม่ใช่กระทรวงยุติธรรม ฉะนั้น จึงไม่สามารถพูดความเห็นส่วนตัวได้ อันนี้ก็เช่นกันและเป็นคดีใหญ่ เมื่อองค์ประชุมไม่ครบก็ไม่สามารถประชุมได้ และยังเป็นการประชุมครั้งแรกด้วย” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะประชุมอีกครั้งในวันไหน พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่ายังไม่ทราบ จะให้เลขานุการ ศอตช. ทำหนังสือถึงปลัด กระทรวงวการคลัง ซึ่งตนเป็นผู้เซ็นหนังสือด้วยตัวเอง ถือว่าเซ็นในหน้าที่ของตน ก็ต้องไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มา เพราะคนอื่นเขารู้กันหมด อีกทั้งตนไม่ได้ทำอะไรโดยพลการ ตนนั่งอยู่ในครม. ก็ครม. เขาสั่งตนมา ตนก็รีบทำให้แล้ว ถ้าไม่มาและจะประชุมกันได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมในวันนี้ ที่ประชุมไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปบันทึกภาพก่อนการประชุม และมีข้อความติดอยู่ที่หน้าห้องประชุมว่า “ประชุมลับ”
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ได้โทรศัพท์ชี้แจงพล.อ.ไพบูลย์ ในฐานะประธานศอตช. หลังจากกระทรวงการคลังไม่ได้เข้าร่วมประชุมพิจารณาข้อมูลตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ให้เอกชนและผู้ตรวจสอบข้าวหลังต้องร่วมรับผิดชอบความเสียในโครงการรับจำนำข้าว 80% ซึ่งในฐานะปลัดกระทรวงการคลัง ทราบเรื่องการประชุมดังกล่าวแล้ว และได้มอบให้กรมบัญชีกลางเข้าร่วมประชุมแทน แต่เจ้าหน้าที่ได้ส่งหนังสือมอบหมายการประชุมไปที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ทำให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งรมว.ยุติธรรม เข้าใจ และจะนัดประชุมใหม่อีกครั้ง

จตุพรเตือนมีหิริโอตตัปปะ
วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวทางเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า แม้จะพยายามฉายภาพเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ใช้องค์กรที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอย่างสิ้นเปลือง ไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงและความรู้สึกของประชาชน เห็นชัดว่า สตง.ทำหน้าที่เคลียร์ได้เร็วทุกเรื่องโดยเฉพาะที่กระทบกับผู้มีอำนาจ แต่ไม่ได้เคลียร์ความรู้สึกของประชาชน ส่วนป.ป.ช.เล่นงานทุกเรื่องที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ดึงและยกทุกเรื่องที่เป็นพวกเดียวกัน พฤติการณ์เหล่านี้เป็นความมืดมน คณะผู้มีอำนาจชุดนี้ล้วงลูกทุกกระบวนการของประเทศ ใครวิพากษ์วิจารณ์ต้องมีอันเป็นไป รองอธิบดีอัยการแผนกคดีอาญาที่พูดในหลักการ ผลลัพธ์ก็ออกมาแบบฉับพลัน ส่วนตน ในวันที่ 11 ต.ค.นี้คงจะทราบเรื่องถอนประกันตัว ผลน่าจะออกมาชัดเจน
ประธานนปช.กล่าวว่า อยากบอกผู้มีอำนาจว่าการใช้อำนาจพิเศษล้วงลูกแทรกแซง สร้างความหวาดกลัวให้กับข้าราชการและคนอื่นเพื่อไม่ให้กล้าแสดงออก เป็นความคิดที่โง่เขลาเพราะในสังคมไทยยิ่งปิด คนยิ่งอยากรู้
“รู้แต่ใช้ศัตรูสมมติแบบผมและนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือเสื้อแดงว่า คือศัตรูที่ต้องได้รับการลงโทษให้สาสม ทั้งที่ปัญหาเกิดจากพวกเดียวกันเอง แต่ไม่ยอมรับความจริงว่าสนิมเกิดแต่เนื้อในตน การนำประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนคือวาทกรรม แต่ที่น่ากลัวคือการลูกล้วงโดยไม่คำนึงถึงหิริโอตตัปปะ ไม่ละอายและเกรงกลัวต่อบาป อำนาจทำไม่ได้ทุกเรื่องและไม่ได้อยู่กับใครตลอดไป ฉะนั้นให้คิดถึงวันที่ไม่มีอำนาจและคิดถึงประเทศไทยให้ใหญ่กว่าครอบครัวตัวเอง ชัยชนะที่ได้มาด้วยการปิดปากและล้วงลูกไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจ และหนีสัจธรรมไม่พ้น” นายจตุพรกล่าว

ถกเอซีดีชื่นมื่น-‘บิ๊กตู่’ปลื้มซาอุฯเข้าร่วมด้วย

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. กล่าวถ้อยแถลงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชียหรือเอซีดี ครั้งที่ 2 โดยมีพระประมุข ประมุข หัวหน้ารัฐบาล และผู้แทนจาก 33 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย เข้าร่วมประชุมด้วยว่า การประชุมวันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญสู่ความร่วมมือและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาคเราต่อไป เป็นการส่งสัญญาณสำคัญต่อประชาคมโลกว่าเอเชียพร้อมแล้วที่จะเติบโตอย่างครอบคลุมและเป็นเอกภาพ ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้วิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย ค.ศ.2030 มีเป้าหมายและทิศทางที่จะสร้างประชาคมเอเชียในอนาคต

ในการบรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว ต้องผลักดันความร่วมมือใน 6 เสาหลัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน, ความเชื่อมโยง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม, การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และการส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน เน้นความเป็นหุ้นส่วนของทุกภาคส่วน ตนเห็นว่าสิ่งสำคัญของทุกความร่วมมือคือการนำผลการประชุมสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง รวมทั้งควรติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาประเทศไม่ควรเน้นที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงคุณภาพความสมดุลและความสุขของประชาชนด้วย เช่น หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (SEP) ของไทย ที่มุ่งให้เกิดความเป็นเอกภาพระหว่างมิติของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในฐานะประธานใหม่ของเอซีดี และเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรี เอซีดีครั้งที่ 15 ที่กรุงอาบูดาบี ในเดือนม.ค.2560 และอิหร่านจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม สุดยอดเอซีดีครั้งที่ 3 ในปี 2561 มั่นใจว่าการประชุมทั้ง 2 ครั้งจะช่วยเพิ่มพูนพลวัตการขับเคลื่อนเอซีดีอย่างมีนัยสำคัญยิ่งขึ้นต่อไป

ก่อนหน้าพล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลง นายบัน คีมุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ส่งวิดีโอสารต้อนรับมายังพิธีเปิดการประชุมเอซีดี โดยนายบันกล่าวขอบคุณประเทศไทยที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอซีดี ตามพันธสัญญาเพื่อความร่วมมือในระดับภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลของประเทศสมาชิกสามารถผลักดันวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปทั่วทั้งเอเชียได้ และขอกล่าวต้อนรับตัวแทนทั้งในระดับรัฐบาล เอกชน และประชาสังคม ที่มาร่วมประชุมในครั้งนี้ โดยจากการรับรองวิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย 2030 และปฏิญญากรุงเทพฯ จะสร้างเส้นทาง แบ่งปันความมั่งคั่งแก่คนรุ่นต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน

แหล่งข่าวทางการทูต เปิดเผยว่า การมาเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากรัฐบาลซาอุฯ ไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีมาร่วมประชุมและหารือกับรัฐบาลไทย หลังเกิดเหตุการณ์คดีเพชรซาอุฯ และคดีอุ้มฆ่านายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ

เวลา 17.30 น. ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายแจ๊ก หม่า ผู้ก่อตั้งประธานกลุ่มบริษัทอาลีบาบา นำเสนอผลการประชุม ACD Connect Business Forum 2016 ของภาคเอกชนที่เพิ่งจบลงเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ต่อที่ประชุมสุดยอดเอซีดี ครั้งที่ 2 โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์เป็นเวลา 18 นาที

หลังจบการนำเสนอพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณที่นายแจ๊ก หม่า ที่บอกเล่าประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปีภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ถือเป็นโอกาสของเอซีดีที่จะนำประสบการณ์ดังกล่าวไปขับเคลื่อนด้วยแนวคิดและวิสัยทัศน์ ที่นายแจ๊ก หม่าสร้างขึ้นมานั้น มาจากจินตนาการในอดีตจนเกิดเป็นประสบการณ์และการเรียนรู้ ถือเป็นประโยชน์ที่ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อมวลมนุษยชาติของคนทุกประเทศ

เวลา 19.10 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์แถลงผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชียครั้งที่ 2 ว่า มีประเด็นสำคัญคือ 1.รับรองวิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย ค.ศ. 2030 2.รับรองปฏิญญากรุงเทพฯ และแผนปฏิบัติการพิมพ์เขียวระยะ 5 ปี (ค.ศ.2017-2021) เพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ร่วมไปสู่การปฏิบัติ 3.รับรองแถลงการณ์เอซีดี ประกาศบทบาทของเอเชียในการกระตุ้นการเติบโตผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเชื่อมโยง 4.ที่ประชุมเห็นพ้องตั้งสำนักเลขาธิการเอซีดี ที่คูเวต

เปิดเซฟ‘อุตตม’อู้ฟู่ขึ้น38ล.

ฮือฮาปีติพงศ์พกเหล็กไหล

วันที่ 10 ต.ค. ที่สำนักงานป.ป.ช. มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง คือ นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) พร้อมนางอิชยา สาวนายน คู่สมรส ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 207,044,135 บาท ตอนเข้ารับตำแหน่ง 23 ส.ค.58 ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 168,550,175 บาท มีเพิ่มขึ้น 38,493,960 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของตนเองเกือบ 20 ล้านบาท ที่ดินประมาณ 5 ล้านบาท คู่สมรสที่เพิ่มมียานพาหนะมูลค่า 7 ล้านบาทเศษ เงินลงทุน 12 ล้านบาทเศษ ทรัพย์สินที่เพิ่มส่วนหนึ่งเป็นเงินที่นายอุตตม ได้มรดกจากมารดา 22 ล้านบาท

ส่วนรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี 19 ราย 20 ตำแหน่ง 1.ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,330,852,215 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 28 ล้านบาท เป็นรายการเงินฝาก 2.นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกฯ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 92,589,103 บาท เพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาท 3.พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีตรมว.ต่างประเทศ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 184,583,383 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนบาท 4.นายสมหมาย ภาษี อดีตรมว.คลัง ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 105,311,624 บาท ลดลงประมาณ 10 ล้านบาท โดยเฉพาะโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างของคู่สมรสมูลค่า 6.3 ล้านบาท หนี้สินเพิ่มขึ้นราว 3.6 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ สร้อยคอ แหวนเพชรของคู่สมรส 65 รายการ มูลค่าร่วม 4 ล้านบาท 5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรมช.ต่างประเทศ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 139,112,404 บาท เพิ่มขึ้นราว 9 แสนบาท

6.นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตรมว.เกษตรและสหกรณ์ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,072,496,793บาท เพิ่มขึ้นกว่า 270 ล้านบาท เป็นในส่วนของภริยา อาทิ เงินลงทุน 187 ล้านบาท และเครื่องเพชร 7 รายการ เช่น สร้อยข้อมือเพชร-ทอง 15 เส้น แหวนเพชร-ทอง 21 วง เพชรไม่มีเรือน 15 กะรัต เครื่องราง หยก เหล็กไหล 20 ชิ้น รวมมูลค่า 55 ล้านบาท 7.นายอำนวย ปะติเส อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 29,256,273บาท ลดลงกว่า 2.7 แสนบาท

8.พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง อดีตรมว.คมนาคม มีทรัพย์สินและหนี้สิน 31,379,147 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านบาท 9.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 95,311,296 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านบาท 10.นาย พรชัย รุจิประภา อดีตรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 98,513,143 บาท ลดลงกว่า 12 ล้านบาท เงินฝากลดลงประมาณ 4 ล้านบาท ที่ดินลดลงประมาณ 4 ล้านบาท และเป็นเงินที่นำไปซื้อยานพาหนะอีกประมาณ 4 ล้านบาท 11.นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 283,006,820 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3.6 ล้านบาท

12.พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีตรมว.พาณิชย์ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 33,928,094 บาท ลดลงประมาณ 1 ล้านบาท 13.นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อดีตรมช.พาณิชย์ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 34,832,390 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านบาท 14.พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ อดีตรมว.แรงงาน ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,282,773 บาท เพิ่มขึ้น 1.6 แสนบาท 15.พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตรมว.ศึกษาธิการ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 12,633,385 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 ล้านบาท 16.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร อดีตรมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 55,952,290 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านบาท

17.นายรัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 162,814,775 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 14.7 ล้านบาท เป็นเงินฝากประมาณ 3 ล้านบาท เงินลงทุนประมาณ 11 ล้านบาท 18.นายสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สาธารณสุข ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 38,624,472 บาท ลดลงประมาณ 1.3 ล้านบาท 19.นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช อดีตรมว.อุตสาหกรรม ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 61,565,916 บาท เพิ่มขึ้น 4.9 หมื่นบาท

สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรณีพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี 2 ราย คือ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล แจ้งมีทรัพย์สิน 51,605,405 บาท คู่สมรส 54,223,205 บาท ไม่มีหนี้สิน รวม 105,936,748 บาท เปรียบเทียบกับกรณีพ้นจากตำแหน่งพบมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 13,865,477 บาท และเดิมที่มีหนี้สิน 9,276,238 บาทก็หมดไปด้วย โดยที่เพิ่มขึ้นเป็นรายการสิทธิและสัมปทานมูลค่า 9 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาจ้างการก่อสร้างบ้านพักอาศัยและเป็นเงินจากการขายรถยนต์โตโยต้า ESTIMA มูลค่า 1 ล้านบาท และรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 730 ดี มูลค่า 3 ล้านบาท แต่น่าสังเกตว่าการแจ้งตอนยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินกรณีพ้นจากตำแหน่งนั้นไม่แจ้งรถยนต์โตโยต้าไว้ ส่วนพล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ และคู่สมรส แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 31,207,874 บาท คู่สมรส 18,218,070 บาท มีหนี้สิน 1,585,930 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 47,840,014 บาท มีทรัพย์สินลดลง 651,067 บาท เป็นเงินลงทุน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน