กระทิงแดงยอมถอย พร้อมยกเลิก “เช่าป่า” อัยการแนะยื่นป.ป.ช. ปัดฟ้องใหม่คดี 99 ศพโดยตรง ‘บิ๊กตู่’ฉุน โดนถามปัญหา 3 จว.ใต้ โวยถูกค้านทุกเรื่อง ปมออกกฎหมายใช้ที่ดิน 2 ข้างทางรถไฟ สาวทำเนียบ กรี๊ดโดนถ้ำมอง กระทิงแดงยอมถอยเช่าป่าห้วยเม็ก

บิ๊กตู่ฉุนถูกถามปัญหา 3 จว.ใต้

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวหลังตอบคำถามถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ว่า วันนี้เป็นเหมือนกันทุกเรื่อง สื่อเอาอีกข้างมาว่าข้างนี้ เอาข้างนี้ไปให้ข้างโน้น หา เหตุอยู่เช่นนี้ ไม่มีจบ ไม่ต้องไปถามเรื่องใต้ เรื่องที่กรุงเทพฯ เรื่องการเมืองก็เหมือนกัน ตราบใดที่ยังปล่อยให้คนเหล่านี้คนที่มีคดีออกมาพูดออกสื่อทุกวัน มันทำได้หรือไม่

“เคยมีหรือไม่ที่ประเทศไหนทำ มีแต่ประเทศไทยที่คนอยู่ในคดีออกมาพูดทุกวัน คดีกองเป็นหลายๆ คดี แต่ยังออกมาพูด สื่อก็นำเสนอข่าวแล้วเอามาใส่ผม ผมก็ต้องสวนกลับไป ทางโน้นก็สวนกลับมา สนุกกันนักหรืออย่างไร ผมไม่โต้ตอบอีกแล้ว พวกคุณอยากจะฟังไอ้พวกนั้นก็ฟังไปเถอะ ถึงเวลาก็บอกว่าไม่เป็นธรรมอีก ดำเนินคดีข้างเดียว มันทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีจบ ไม่มีปรองดองกันได้ วันนี้จะปรองดองได้อย่างเดียวคือการใช้กฎหมาย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นั่นคือกระบวนการปรองดอง แล้วว่าตามขั้นตอน ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมยังนึกไม่ออกว่าจะปรองดองด้วยวิธีการอะไร” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

แจงใช้ที่ดิน 2 ข้างทางรถไฟ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงแนวคิดการออกกฎหมายใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจสองข้างทางรถไฟว่า ต้องออกเป็นพ.ร.บ.เรื่องนี้ยัง ไม่เคยมี ซึ่งพ.ร.บ.เดิมเขียนไว้ว่าพื้นที่เวนคืนไปทำเส้นทางรถไฟ ก็ต้องเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อย่างเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปเอาที่ของการรถไฟฯ มา เพียงแต่สองข้างทางรถไฟต่อไปจะต้องใช้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ สร้างเมืองใหม่ แหล่งค้าขาย เหมือนกับในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่เขานำสองข้างทางรถไฟมาแบ่งเป็นด้านอุตสาหกรรม การเกษตร ตลาด และสินค้าต่างๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถออกกฎหมายได้ในช่วงใด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สื่อ มาถามอะไรผม เวลาเขาทำกฎหมายก็ค้านกันทุกเรื่อง กฎหมายจะสามารถออกได้ทุกเรื่องหรือไม่ แล้วถ้าออกไม่ได้ใครเป็นคนผิด คนเสนอหรือไม่ ฉันไม่เสนอดีกว่าหรือ อยู่เฉยๆ จะเสนอให้โดนด่าทำไมวะ”

โวยถูกค้านทุกเรื่อง

เมื่อถามย้ำว่าพล.อ.ประยุทธ์ระบุเองว่า จำเป็นต้องออกกฎหมายดังกล่าว พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ก็จะออก ก็จะทำ แต่จะออกได้หรือไม่จะต้องไปรับฟังความคิดเห็นทุกเรื่อง แล้วมันผ่านได้ไหมล่ะ

“ค้านกันตลอดทุกเรื่อง สื่อต้องไปสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน ถ้าประชาชนอยากมีรายได้ที่สูงขึ้น อยากมีโอกาส อยากมีทางเลือก ก็ต้องร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่มาอ้างเรื่องผลกระทบ แต่คนทำเขาคิดแล้วว่าจะลดผลกระทบให้มากที่สุดได้อย่างไร และใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่างไร โดยรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมไปด้วย สื่อต้องขยายแบบนี้ไม่ใช่เอาตรงนี้ไปตีกับประชาชนเข้าไปอีก แล้วก็มาถามว่าตนจะทำสำเร็จหรือไม่ ปัดโธ่ …ไร้สาระ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า ไม่ได้ถามว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่ถามว่ากฎหมายจะสามารถเกิดได้ในห้วงเวลาใด พล.อ.ประยุทธ์ เดินเลี่ยงออกจากไมโครโฟนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมกล่าวว่า “ไม่รู้ เสนอวันนี้ออกมะรืนเลย เดี๋ยวเสนอพรุ่งนี้ก็ได้ แล้วประชาชนก็ต้องร่วมมือกันมะรืนนี้”

เมื่อมีปรองดองถึงมีเลือกตั้ง

ต่อมาเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ตนมีโอกาสต้อนรับคณะนักลงทุนจากญี่ปุ่น เกือบ 600 ราย นำโดยนายฮิโรชิ เซโกะ รมว.เศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น ซึ่งตนได้เน้นย้ำการให้ความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางการเมือง จะมุ่งบริหารประเทศตามโรดแม็ปที่ชัดเจน เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในแบบฉบับที่สอดคล้องกับบริบทของเรา ที่ไม่ขัดแย้งกับสากลด้วย ทั้งนี้ เมื่อทุกอย่างลงตัว กระบวนการด้านกฎหมายมีความพร้อม ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ มีความปรองดอง เราจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ในการประชุมครม.ที่ผ่านมา ได้สรุปหนังสือ The Speed of Trust ให้ครม.ไปอ่านหลักการของเขา แล้วพิจารณาตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ กล่าวโดยสรุปได้ว่า สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ถ้าขาดหายไป เราจะไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทำงานหรือดำรงชีวิต แต่ถ้าสร้างขึ้นมาได้ ทั้งตนเอง ทั้งชุมชน ครอบครัว เพื่อนฝูงยิ่งมาก จะยิ่งให้ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ สิ่งนั้นคือความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ แต่ต้องแลกกันด้วยใจ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องพิสูจน์ตนเอง หวังว่าความจริงใจของตนที่มีต่อประชาชนและประเทศชาติ จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับทุกคน จนนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือกัน ช่วยกันนำประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ และเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

‘พงศ์พร’เข้ารายงานตัวแล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) เปิดเผยว่า หลังมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้โอนย้ายพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) มาเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันนี้เวลา 13.30 น. พ.ต.ท.พงศ์พรได้เดินทางเข้ามารายงานตัวกับตน โดยพูดคุยทักทายและพร้อมกับมอบหมายงานตามที่ปรากฏในคำสั่งสำนักนายกฯ ไปให้รับผิดชอบเขตตรวจราชการที่ 8 ดูแลพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น

นายจิรชัยกล่าวอีกว่า เมื่อผอ.พศ.รายงานตัวเสร็จ ได้เดินทางกลับทันที โดยแจ้งเพียงว่ามีธุระ แต่พ.ต.ท.พงศ์พรจะเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ในวันจันทร์ที่ 18 ก.ย.นี้ โดยใช้ห้องทำงานสำนักตรวจราชการ ชั้น 3 สปน.

‘ป๊อก’หนุนสอบทุจริตเรือเหาะ

ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะอดีตผบ.ทบ. ชี้แจงกรณีกองทัพบกปลดระวางการใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์ เนื่องจากหมดอายุใช้งาน โดยตลอดการใช้งานถูกวิจารณ์ถึงการจัดซื้อราคาสูงแต่ประสิทธิภาพไม่คุ้มค่าว่า ไม่ทราบใครเป็นผู้ประเมินประสิทธิภาพของเรือเหาะ ทั้งนี้มูลค่าจัดซื้อรวม 350 ล้านบาท แบ่งเป็นราคาตัวกล้อง 250 ล้านบาท 5 ตัว ซึ่งตัวกล้องยังใช้การได้ดี โดยติดไว้กับแท่นเฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ ส่วนอีก 2 กล้องติดอยู่ที่เรือเหาะซึ่งยังใช้การได้ ขณะที่ตัวเรือเหาะและโรงเก็บ ราคาอยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งการประเมินคุณภาพใช้การได้หรือไม่ อยู่ที่กองทัพบก ส่วนเรื่องทุจริตนั้นเป็นอีกเรื่องหากมีการร้องเรียน

“ผมเห็นด้วยหากมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบทุจริต จะได้ไม่นำมาวิจารณ์โดยไม่มีข้อมูล แม้การจัดซื้อเรือเหาะจะเกิดขึ้นในสมัยที่ผมเป็น ผบ.ทบ. แต่หากจะตรวจสอบก็ต้องดูว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง ทั้งการรับของ การทำสัญญา รวมถึงผู้ใช้งาน ซึ่งผมพ้นจากตำแหน่งนานแล้ว จึงบอกไม่ได้ว่า หากมีการปรับเปลี่ยนสภาพการใช้งานของเรือเหาะตรวจการณ์ จะทำได้ในรูปแบบใดบ้าง เพราะช่วงการจัดซื้อ ผมไม่ได้เป็นผู้พิจารณาโดยตรง ฉะนั้นจะต้องตรวจหาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด จะตรวจสอบเฉพาะเกิดในสมัยผมอย่างเดียวไม่ได้” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

รมว.มหาดไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องทุกฝ่ายให้ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน เพราะหากเข้าใจผิดในช่วงเริ่มต้น ก็เข้าใจโครงการจัดซื้อนี้ผิดไปด้วย และอย่าใช้ความรู้ประเมินความคุ้มค่า อย่างไรก็ตามหากจะให้ตนไปสอบถามเรื่องนี้คงไม่สามารถทำได้ เพราะตอนนี้ตนไม่มีอำนาจสั่งการในกองทัพบก

โฆษกทบ.แจงยิบงบเรือเหาะ

ที่บก.ทบ. พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก กองทัพบก ชี้แจงกรณีกองทัพบกหยุดใช้งานเรือเหาะว่า ที่ผ่านมาตัวเรือเหาะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะและอากาศยาน นำมาเสริมประสิทธิ ภาพให้กับเจ้าหน้าที่ในระบบเฝ้าตรวจของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีองค์ประกอบหลักของโครงการนี้ 2 รายการ ใช้วงเงินรวม 340 ล้านบาท

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า รายการแรกคือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะ ใช้วงเงิน 209 ล้านบาท มีองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ ตัว เรือเหาะ ใช้วงเงินจัดหา 66.8 ล้านบาท ระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 2 ชุดพร้อมระบบควบคุมและส่งสัญญาณ วงเงิน 87 ล้านบาท ระบบสถานีรับสัญญาณ แบบสถานีประจำที่ และสถานีเคลื่อนที่ด้วยรถหุ้มเกราะ วงเงิน 40 ล้านบาท โรงเก็บเรือเหาะและอุปกรณ์บริภัณฑ์ภาคพื้น วงเงิน 9 ล้านบาท

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า รายการที่สองคือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยอากาศยาน ใช้วงเงิน 131 ล้านบาท มีระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 3 ชุด พร้อมระบบควบคุมและ ส่งสัญญาณ 3 ชุด เพื่อใช้ติดตั้งกับอากาศยานที่มีอยู่แล้วในอัตราปกติของกองทัพบก

พท.จี้สอบ‘จีที 200’ด้วย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการยกเลิกการใช้เรือเหาะว่า เรื่องนี้ใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนนับ 1,000 ล้านบาทและเป็นตัวอย่างที่สังคมควรมีส่วนร่วมรับรู้ จึงขอเรียกร้องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบเรื่องนี้ และสรุปผลออกมา เพื่อเป็นบทเรียนและใช้เป็นบรรทัดฐานจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ว่ามีความจำเป็นหรือเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของภารกิจหรือไม่ อย่างไรเพื่อที่ประเทศจะได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และหน่วย ราชการอื่นๆ จะได้นำไปใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความศรัทธาต่อประชาชน

“วันนี้ชาวบ้านเรียกเรือเหาะว่าเรือเหี่ยว ยิ่งรัฐบาลชุดนี้บอกว่ายึดอำนาจเพื่อเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำให้ความจริงปรากฏว่า การจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซื้อแล้วคุ้มค่าหรือไม่ ส่วนการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ที่ถูกกล่าวหาเป็นไม้ล้างป่าช้า และศาลอาญากลาง กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตัดสินเอาผิดในข้อหาฉ้อโกงกับบริษัทผู้ผลิตและให้ประเทศที่รับซื้อแจ้งยอดความเสียหาย เพื่อเรียกรับค่าชดเชยสินค้า แต่ประเทศไทยกลับไม่แจ้งตัวเลขความเสียหายไปใช่หรือไม่ ประชาชนจึงหวังให้สตง.เป็นที่พึ่งสุดท้าย ทำให้ประเทศมีบรรทัดฐานในการใช้ภาษีของประชาชนได้” นายจิรายุ กล่าว

ปปช.ยกคำร้องทำน้ำท่วมปี’54

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า สืบเนื่องจากในการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2554 มีมติสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเป็นนายกฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. กรณีเก็บกัก ควบคุม ระบายหรือบริหารจัดการน้ำ เป็นเหตุให้เกิดมหาอุทกภัยปี 2554

นายวรวิทย์กล่าวว่า ไต่สวนได้ความว่าปี 2554 เดือนม.ค.-เม.ย. เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้พร่องน้ำไว้รองรับสถานการณ์ตั้งแต่ก่อนเข้าฤดูฝน แต่เดือนพ.ค. ประเทศไทยได้รับอิทธิพลพายุโซนร้อน 5 ลูก ทุกภาคมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะภาคเหนือ เขื่อนต่างๆ ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้จึงระบายน้ำออกมา ซึ่งการบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีคณะอนุกรรมการ การติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำซึ่งประกอบด้วย 10 หน่วยงาน ร่วมกันพิจารณา สรุปประเด็นวินิจฉัยต่อผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด รับฟังได้ว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล จึงเห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป

“เรื่องที่ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปนั้น เป็นคนละกรณีกับเรื่องกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์กับพวก กรณีการดำเนินโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ วงเงิน 350,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงของป.ป.ช.” นายวรวิทย์กล่าว

อัยการร่วมถกคดีโอ๊คฟอกเงิน

นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 อัยการผู้ร่วมสอบสวนคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงคณะพนักงานสอบสวนสำนวนคดีฟอกเงินการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร ที่มีการพาดพิงถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร ว่า ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ จะมีเจ้าหน้าที่ ปปง.มาให้การเพิ่มเติมกับทีมสอบสวน โดยตนจะไปร่วมสอบด้วย ซึ่งคดีนี้ปปง.เป็นผู้กล่าวหามา ส่วนการสอบเรื่องเส้นทางการเงินในคดี สอบเสร็จไปเเล้ว 80-90 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ปปง.เคยเเจ้งไว้ ซึ่งในวันที่ 18 ก.ย. เป็นเพียงการส่งเจ้าหน้าที่มาให้การตามที่เเจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งสำนวนก็จะสมบูรณ์เเล้ว เพียงเเต่สอบสวนเพิ่มตามปกติ ส่วนการเรียกนายพานทองเเท้กับพวกมารับทราบข้อกล่าวหานั้น สามารถดำเนินการได้ เมื่อสำนวนสมบูรณ์หมด และพยานหลักฐานพอเพียงที่จะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาได้ ซึ่งจะพิจารณาหลังสอบเสร็จ

เมื่อถามว่าหากมาตามหมายเรียกเเละเเจ้งข้อกล่าวหาเเล้ว จะสรุปสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องส่งอัยการได้เลยหรือไม่ นายขจรศักดิ์กล่าวว่า ถ้าเขาให้การปฏิเสธ เราต้องดูว่าเขาปฏิเสธโดยอ้างเหตุอย่างไร เเต่เราจะต้องรีบส่งอัยการ พอถึงขั้นนั้นอัยการจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมีความเห็นทางคดีอย่างไร สั่งฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ หรืออาจสั่งสอบเพิ่มหรือไม่

เเหล่งข่าวทีมสอบสวนในคดีนี้ ระบุว่า จากการสืบสวนคดีฟอกเงินดังกล่าว ขณะนี้คณะสอบสวนได้สอบสวนพยานหลักฐานหลักที่เป็นเส้นทางการเงินจนครบถ้วนหมดเเล้ว คงเหลือเเต่นัดนายพานทองเเท้ กับพวกซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหามาให้การครบถ้วน

แนะคดี 99 ศพร้องปปช.โดยตรง

เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณี แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. จะนำผู้เสียหายใน คดีนี้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด(อสส.) ให้ส่งเรื่องไปยังป.ป.ช.เพื่อไต่สวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ เเละนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ตาม คำพิพากษาศาลฎีกา ว่า เรื่องนี้วิธีที่ถูกต้องคือ ผู้เสียหายจะต้องทำเรื่องไปยังป.ป.ช. โดยตรง เเละหากคดีนี้ ป.ป.ช.มีพยานหลักฐานใหม่ ก็หยิบยกขึ้นมาได้ ฉะนั้นการจะใช้วิธีส่งเรื่องผ่านอสส. จะต้องพิจารณาด้วยว่า อสส. จะมีอำนาจที่จะส่งป.ป.ช.หรือไม่

“อัยการไม่เคยทราบเรื่องมาก่อนเลย เเล้ว อยู่ๆ มาบอกว่ามีพยานหลักฐานใหม่ อัยการจะเอาที่ไหนมาส่ง ถ้ามีเเบบส่งมา 5 คนเเล้ว อัยการพิจารณาว่ามันน่าจะมีคนที่ 6 ด้วย อันนี้มีต้นเรื่องส่งให้ ป.ป.ช .เเต่นี่ไม่มีต้นเรื่องมาเลย” เเหล่งข่าวกล่าว

ญาติ 99 ศพหวังเอาผิดผู้ปฏิบัติด้วย

นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมลเกด พยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการ ชุมนุมกลุ่มนปช. บริเวณวัดปทุมวนาราม ระหว่างเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 เผยว่า กลุ่มญาติ ผู้เสียชีวิต จะจัดกิจกรรม “พับถุงกล้วยแขก” ในช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.นี้ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอวัวระดมทุนต่อสู้คคี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยไฮไลต์ของงาน อยู่ที่กระดาษที่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตเตรียมไว้เพื่อนำมาพักถุงกล้วยแขกไว้ใส่ขนมขายในกิจกรรมต่อๆ ไป โดยเราจะจัดกิจกรรมเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสื่อสารกับสังคม และนำทุนมาใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงในเหตุสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553

นางพะเยาว์กล่าวว่า กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจะรวมตัวกันเดินหน้าต่อสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกับนปช. เพราะในฐานะญาติ มองว่าการนำคนผิดมาลงโทษ ต้องไม่ใช่นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ แต่ต้องรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปฏิบัติการด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นคดีอาญาที่ร้ายแรง ขนาดคดีจ้างวานฆ่าคน ทั้งมือปืนและผู้จ้างวานต่างมีความผิดด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น แนวทางการเอาผิดจึงต้องรวมเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปฏิบัติการด้วย ไม่ใช่แค่นายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ในฐานะผู้ออกคำสั่ง แค่ 2 คนเท่านั้น

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลุ่ม นปช. เตรียมยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด และป.ป.ช. ฟ้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ว่า หากนปช.ไปยื่นต่อป.ป.ช.ก็ยื่นได้ แต่ป.ป.ช.คงไม่รับ เพราะคดีจบไปแล้ว เพราะถ้าศาลพิจารณาถึงที่สุดแล้ว จะไม่หยิบยกมาพิจารณาซ้ำ กฎหมายห้ามฟ้องซ้ำและห้ามพิจารณาซ้ำ ดังนั้นหากนปช.ยื่นฟ้องจึงไม่มีปัญหา เพราะเห็นว่า นปช.ทำเพียงแต่สร้างข่าวขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น

กระทิงแดงยอมถอย-เลิกเช่าป่า

ส่วนกรณีบริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเครื่องดื่มกระทิงแดง ขอเช่าพื้นที่ป่าสาธารณประโยชน์ห้วยเม็ก ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ ต่อมากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้ใช้ประโยชน์ ทั้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า สั่งการให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตรวจสอบ และดำเนินการตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ระบุ ส่วนการระงับหรือยกเลิกสัญญาเช่านั้นยังตอบไม่ได้ เนื่องจากต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 14 หน่วยงาน จะต้องรายงานข้อเท็จจริงในการทำสัญญาเช่าทั้งหมด หากทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทางจังหวัดจะรายงาน รมว.มหาดไทย รับทราบไม่เกิน 15 วัน ตามกรอบเวลาที่ รมว.มหาดไทยกำหนด

ด้านพล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ได้รับรายงานจากคณะกรรมการของกรมที่ดินที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เบื้องต้นพบว่ามีประชาชนที่ใช้ประโยชน์มาลงชื่อคัดค้าน แต่ในเอกสารจากอำเภอที่ส่งขึ้นมาถึงจังหวัด กรมที่ดิน และกระทรวงมหาดไทย กลับสรุปว่าไม่มีปัญหา ขั้นตอนต่อไปจะต้องให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถ้าไม่ถูกต้อง ก็ต้องมีคนรับผิดชอบทั้งทางวินัยและอาญา ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวน ส่วนการยกเลิกให้ใช้พื้นที่ป่าห้วยเม็ก หากมีประชาชนในฐานะผู้ใช้ประโยชน์ไปคัดค้านต่อนายอำเภอ ก็ตั้งเรื่องดำเนินการได้ ก่อนเสนอให้ผวจ.ยกเลิกตามอำนาจ โดยไม่ต้องเสนอขึ้นมาที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรณีผู้ได้รับอนุญาตปรับพื้นที่จนเกินสภาพก็ยกเลิกได้เช่นกัน

วันเดียวกัน บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ฯ ชี้แจงว่าการขออนุญาตเช่าพื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก เนื้อที่ 31 ไร่ อยู่ติดกับพื้นที่ก่อสร้างโรงงาน 500 ไร่นั้น บริษัทดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ และขั้นตอนทางกฎหมายของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม ที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง ครบถ้วนทุกประการ เมื่อมีผู้คัดค้านการขอเช่าพื้นที่ บริษัทก็พร้อม ที่จะยกเลิกโครงการบริหารจัดการน้ำ และยกเลิกใบอนุญาตเช่าพื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก และให้ชุมชน ต.บ้านดง บริหารจัดการกันเองต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน