เมื่อวันที่ 22 พ.ย. นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.)มีความเห็นให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้พิจารณาคดีของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลได้รับฟ้องไว้แล้วต่อไป ได้แก่ คดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร และคดีแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิตว่า แม้การดำเนินการของ อสส.จะเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาหลักการที่เปลี่ยนไปของกฎหมายฉบับดังกล่าวและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคดีทั้งสองเรื่อง จะเห็นว่ามีความไม่ชอบธรรมและขัดต่อหลักการสากลในหลายเรื่อง

ทั้งเรื่องการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย การกำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ เป็นการยกเว้นหลักการสำคัญในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ใช้กับคดีอาญาทั่วไปนั้น ขัดต่อหลักการสากลที่การพิจารณาคดีอาญาจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งการพิจารณาคดีและพิพากษาไปฝ่ายเดียวนั้นโดยหลักจะนำไปใช้ในเฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้ในคดีอาญาด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนเองได้คัดค้านมาตั้งแต่ในชั้นการยกร่างกฎหมายแล้ว กฎหมายในลักษณะนี้นอกจากไม่ได้สร้างความเป็นธรรมให้แก่จำเลยในคดีอาญาแล้ว กลับเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของจำเลยด้วย

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเริ่มต้นของคดีนี้ทราบกันทั่วไปว่ามาจากผลจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 เริ่มจากการที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาดำเนินการเพื่อเอาผิด ซึ่ง คตส.ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่ชอบธรรม ทั้งในแง่ตัวบุคคลและกระบวนการ เมื่อส่งเรื่องต่อมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หลายคนในคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่เป็นกลางและอคติทางการเมือง คดีทั้งสองเรื่องนี้จึงมีมูลเหตุมาจากเหตุผลทางการเมือง

นอกจากนี้บทเฉพาะกาล มาตรา 69 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มิได้บัญญัติไว้ชัดเจนในกฎหมายดังกล่าวมีผลย้อนหลังไปใช้กับคดีที่เกิดขึ้นก่อนวันที่กฎหมายใช้บังคับด้วย โดยหลักจึงไม่อาจนำกฎหมายไปใช้บังคับกับบุคคลที่การกระทำเกิดขึ้นก่อนที่กฎหมายใช้บังคับได้ ที่สุดแล้วศาลได้พิจารณาคดีจนเสร็จสิ้นและมีคำพิพากษา จึงเป็นว่าศาลได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปฝ่ายเดียว โดยที่จำเลยไม่ได้เข้ามาในคดี แม้โดยระบบไต่สวนให้อำนาจศาลในการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดี แต่การที่จะได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายจำเลยนั้นคงเป็นไปได้ยาก จึงเห็นว่ากฎหมายที่ออกมาในลักษณะนี้ ย่อมขัดต่อหลักนิติธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน