พท.ปูดโดนล้างบาง ฟัน 40 ส.ส. ปมกฎหมายนิรโทษ กรรม”ณัฐวุฒิ”บุกป.ป.ช. ทวงคดีสลายม็อบปี”53 ชี้คดีคนตายควรขึ้นศาล แนะแยกไต่สวนรายกรณี ชาติไทย พัฒนาเตือน “บิ๊กตู่” อย่าลืมสัญญาจัดเลือกตั้งพ.ย.นี้ “นายกฯ วอนประชาชนสนใจจุดเปลี่ยน ประเทศ ชวนเด็กเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ บ่นคนฟัง “พูดวันศุกร์” น้อย “ป้อม” โดดป้อง “ประยุทธ์” ลั่นคิดกันไปเอง “ตู่” นายกฯ คนนอก “ศรีวราห์” ชวดหมายจับ “เอกชัย”

ตู่วอนประชาชนสนใจจุดเปลี่ยน

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่า ปีใหม่นี้ นอกจากเรื่องการเลือกตั้งแล้ว ยังมีเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ที่อยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ได้ให้ความสนใจ ภาครัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องพร้อมประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง

“ภาคประชาชนเองก็ต้องตระหนัก และขวนขวายด้วยเช่นกัน เพราะนี่จะเป็นจุดเปลี่ยน ประเทศไทย ที่พวกเราทุกคนรอคอยมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ สำคัญต่ออนาคตของบ้านเมือง โดยเฉพาะลูกหลานในวันข้างหน้า เยาวชน-นักศึกษาก็ไม่เร็วเกินไป ที่จะให้ความสนใจและเข้ามามีส่วนร่วม เพราะอนาคตของชาติก็คือชีวิตของท่านในวันข้างหน้า” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

ชวนเด็กเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ในโอกาสวันเด็ก แห่งชาติ ในวันที่ 13 ม.ค. เราต้องมีการเตรียม ตัว คือเตรียมคนไทย เตรียมประเทศไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกาภิวัตน์ ยุคเทคโนโลยีดิจิตอล และบริบททางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของโลก นับเป็นความท้าทายของเราทุกคน และทุกรัฐบาล นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งสำคัญหากเราไม่สามารถแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเอง โดยคิดใหม่ มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า ก้าวไกลอย่างมีทิศทาง เป้าหมายชัดเจน เพื่ออนาคตแล้ว อาจเกิดปัญหา ที่แก้ไขไม่ทันการณ์ได้

“ดังนั้นผมในนามของนายกฯ คสช. อยากเชิญชวนเด็ก เยาวชน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ได้ออกมาช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศชาติ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกับการปฏิรูปประเทศในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับบ้านเมืองของเราในวันนี้ และในวันข้างหน้า คนไทยทุกคนต้องร่วมมือ ร่วมใจกันในการ ที่จะขับเคลื่อนประเทศของเราต่อไป” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

โอดคนฟัง”พูดวันศุกร์”น้อย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า สำหรับวันที่ 17 ม.ค.นี้ตนมีกำหนดการลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดที่รัฐบาลให้ความสนใจเป็นพิเศษ อีกจังหวัดหนึ่ง เนื่องจากลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ และสภาพปัญหามีความแตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ ของไทย ซึ่งรายละเอียด และผลการพบปะพี่น้องประชาชน รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ นั้น ตนจะนำมาเล่าให้ฟังในวันศุกร์หน้า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การที่ตนออกมาพูด วันศุกร์ตนพูดมา 3 ปีกว่าแล้ว หลายคนอาจจะไม่ได้ติดตาม หรือติดตามน้อย หรือติดตามแล้วอาจไม่เข้าใจ คิดว่าบางครั้งอาจใช้คำพูดที่ยากเกินไปหรือมีเรื่องมากเกินไป บางคนก็รู้สึกเบื่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนพูดวันนี้ใครที่สนใจและอาจจะไม่ได้ฟังในเวลาเหล่านี้ ถ้าสนใจสามารถเปิดดูได้ในเว็บไซต์ของรัฐบาล ซึ่งออกหลังจากรายการออกไปแล้วทุกครั้ง อยากให้ทุกคนได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดว่าที่ตนพูดมามีความมุ่งหมายอะไร มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรทำเพื่อใคร ถ้ายังมีปัญหาอะไรก็ขอให้ติดต่อสอบถามมาทางทำเนียบรัฐบาลได้ มีคำแนะนำอะไรต่างๆ ก็ตาม มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมายในการมาตอบคำถามตนด้วย ทั้ง 4 ข้อ 6 ข้อ ก็ยังมีการตอบอยู่หลายอย่างก็นำมาปรับใช้

ป้อมโดดป้อง-ตู่นายกฯคนนอก

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสตอบรับของประชาชนในการเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอกว่า ยังไม่มีอะไร เรื่องนี้สื่อมาถามเองว่าจะให้เป็นพล.อ. ประยุทธ์ ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าประชาชนจะเอาใคร ยังไม่รู้ว่าคนนอกจะเป็นใคร ทุกอย่างทำตามรัฐธรรมนูญ และขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเอาใคร

เมื่อถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าเป็นนักการเมือง อาจแสดงถึงความไม่เป็นกลางเพราะ คสช.ต้องคุมการจัดเลือกตั้ง พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า “แล้วนายกฯ ลงสมัคร รับเลือกตั้งหรือไม่ สื่อรู้ได้อย่างไรว่านายกฯ จะมาเป็นนายกฯ คนนอก สื่อไปคิดเอาเอง ไม่ได้ และที่เจอกับนายกฯ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ และท่านไม่ได้คิดเรื่องการเมืองเท่าไร”

ผู้สื่อข่าวถามว่าสมาชิกพรรคเพื่อไทยระบุนักการเมืองอยู่ที่การวางตัวและมุมมองทาง การเมือง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ต้องไปถามพรรคเพื่อไทย ส่วนมุมมองนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่ตนพูดถึงนั้น คือทำอย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุดและอยู่ดีกินดี มีความสงบเรียบร้อย หรือสื่อไม่ต้องการแบบนั้น

เมื่อถามว่ามองว่าพล.อ.ประยุทธ์ตอบโจทย์ เรื่องทำให้ประชาชนอยู่ดี ตามแบบนักการเมือง รุ่นใหม่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรย้อนถามว่าขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำแบบนั้นหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ทำไปแล้ว

ศรีวราห์ชวดหมายจับ”เอกชัย”

เวลา 16.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พร้อมคณะเดินทางมายื่นคำร้องขอศาลอาญา ออกหมายจับนายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ก่อนหน้านี้ไปทำกิจกรรม มอบของขวัญให้ พล.อ.ประวิตร

ต่อมาเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้เดินทางกลับโดยกล่าวสั้นๆ ว่า “ศาลท่าน ไม่ให้กลับ”

รายงานข่าว แจ้งว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ เเละคณะ มายื่นคำร้องขออนุญาตให้ศาลออกหมายจับวันนี้ เป็นข้อหาความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์เฟซบุ๊กของนายเอกชัย ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายลามกอนาจาร ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องเเล้ว เห็นควรยกคำร้องขอออกหมายจับ เนื่องจากในชั้นนี้เห็นว่า ควรมีการออกหมายเรียกนายเอกชัยมารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนก่อนออกหมายจับ

ท็อปย้ำเตือนสัญญาเลือกตั้งพ.ย.

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำกลุ่มนิวบลัด พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หลังจากนายกฯ ระบุเป็นคำมั่น สัญญาแล้วว่าเดือนพ.ย.นี้จะมีการเลือกตั้ง จึงขอเป็นกำลังใจให้นายกฯ เดินตามโรดแม็ป เพราะประชาชนรวมถึงนานาชาติมีความคาดหวังให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยด้วยความรวดเร็วด้วยการเลือกตั้ง ทั้งนี้ จะให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้พบปะกับสื่อมวลชน ในทุกวันศุกร์ เวลา 10.00 น. เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาอาจเงียบๆ รอดูท่าทีอยู่ แต่เมื่อวันนี้กลิ่นอายการเมืองเริ่มชัดเจนขึ้นจึงต้องออกมาพบปะกับสื่อให้มากขึ้น

นายวราวุธกล่าวว่า นอกจากนี้ขอให้ปลดล็อกพรรคการเมืองให้ดำเนินกิจกรรมภายใน ตามที่พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้ เนื่องจากเป็นห่วงการเตรียมความพร้อมขั้นตอนต่างๆ ที่พรรคต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อาทิ การทำไพรมารี่โหวต ที่ต้องเรียกประชุมพรรค ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในทางปฏิบัติ และทำไม่ได้ในระยะเวลาจำกัด เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา ขณะที่กำหนด การเลือกตั้งในเดือนพ.ย.นี้ตามที่นายกฯ ประกาศนั้นเวลาก็งวดเข้ามาทุกที ทั้งนี้ ตนไม่กังวลคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 กำหนดให้พรรคเก่าต้องยืนยันสมาชิกในเดือนเม.ย.นี้ จะส่งผล กระทบต่อการหาเสียง เพราะเป็นกลยุทธ์ของแต่ละพรรค แต่ห่วงเรื่องสถานะของพรรคมาก กว่า หากดำเนินการตามกระบวนการไม่ทัน

ยันไม่มีใครไล่ซื้อคน”ชทพ.”

เมื่อถามถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. จะเข้ามาเล่นการเมือง นายวราวุธกล่าวว่า ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะ ยังไม่ถึงเวลา ท้ายที่สุดนายกฯ อาจจะตัดสินใจ ไม่เล่นการเมืองก็ได้ จึงไม่ต้องการพูดล่วงหน้า ให้ผูกมัดตัวเอง

นายวราวุธกล่าวถึงข่าว กมธ.วิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. เสนอให้มีบทลงโทษแก่ผู้ที่ไม่มาใช้สิทธิ์ให้มากขึ้นในประเด็น ที่จะตัดสิทธิไม่ให้เข้ารับราชการว่า น่าเป็นห่วงประเด็นนี้ ตนเห็นว่า กมธ.ควรส่งเสริมให้ความรู้ความเข้าใจ ปลูกฝังคำว่าประชาธิปไตยให้อยู่ในจิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เกิดเป็นพลังและอยากมาใช้สิทธิ์ลงคะแนน มากกว่าการลงโทษตัดสิทธิ์ เพราะหนึ่งเสียงมีความหมายในการกำหนดชะตาประเทศ

เมื่อถามว่ามีคนมาซื้อตัวอดีตส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า เท่าที่ทราบยังไม่มี แต่ถึงมีถ้าเขามาช็อปเราเราก็อาจไปช็อปเขาบ้างก็ได้

พท.เหน็บกลับ”ป้อม”

วันเดียวกัน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าว ถึงพล.อ.ประวิตร พาดพิงนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเดินสายสวัสดีปีใหม่ ระบุเป็นเพียงนักการเมืองเก่าๆ ว่า พล.อ.ประวิตรพูดได้ทุกเรื่องและรู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตัวเอง เวลาถูกถามเรื่องแหวนเพชร นาฬิกา แทนที่จะไปพูดในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตัวเอง เอาเวลาไปชี้แจง ป.ป.ช.จะดีกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านักการเมืองหรือข้าราชการที่ถือครองทรัพย์สิน จะเป็นทรัพย์สินใหม่หรือเก่า มูลค่ามากหรือน้อย แต่ควรเป็นทรัพย์สินที่ได้มาถูกต้อง สามารถชี้แจงได้

นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ได้ข่าวว่า คณะอนุกรรมการของ ป.ป.ช.ชุดที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธาน ได้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของอดีต ส.ส. 40 คนที่เสนอ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม เมื่อปี 2556 ซึ่งการออกกฎหมาย เป็นหน้าที่ของส.ส.ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อบังคับของการประชุมสภา หาก ป.ป.ช.ก้าวล่วงการทำหน้าที่ดังกล่าว เท่ากับเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเช่นกัน

แฉปปช.ส่อล้างบาง 40 สส.พท.

นายวรชัยกล่าวว่า การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมา เป็นการเอื้อให้กับผู้มีอำนาจทั้งสิ้น การตรวจสอบกรณีต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งเรื่องจีที-200 โครงการขุดลอกคูคลอง อผศ. การจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ล่าสุดเรื่องนาฬิกาหรู ของ พล.อ.ประวิตรที่ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งป.ป.ช.ไม่เอาจริงกับการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ทำให้ประชาชนคาใจว่าจะตรวจสอบเสร็จเมื่อไร ดังนั้นขอร้อง ป.ป.ช.อย่าเป็นเครื่องมือให้กับผู้มีอำนาจ

นายวรชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้มีกระแสข่าวด้วยว่า อนุกรรมการป.ป.ช.ชุดดังกล่าว จะมีมติชี้มูลความผิดอดีต ส.ส. 40 คน แล้วส่งเรื่องให้กรรมการป.ป.ช. โดยขั้นตอนต่อไป จะส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดนี้เป็นการพิสูจน์ข้อครหาว่า ที่มาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น มีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ มีความเอนเอียง ผู้มีอำนาจทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วนนักการเมืองและพรรคฝ่ายตรงข้ามถูกตรวจสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีมูลว่าอาจจงใจล้างบางนักการเมืองพรรคเพื่อไทย ถ้าออกมาชี้ถูกชี้ผิดในสถานการณ์ที่จะมีการเลือกตั้ง ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ใช้การประชุม ครม.สัญจร เดินสายลงพื้นที่พบนักการเมืองระดับบิ๊กในทุกภาค จึงเห็นได้ว่าใช้แผนทุกวิถีทางเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม และดึงเสียงหาพวกดูด อดีตส.ส.ไปเข้ากับพวกตนเอง ทุกองคาพยพนำไปสู่การสืบทอดอำนาจ เพื่อเป็นนายกฯ ต่อไป

เต้นบุกปปช.ขอสำนวนคดี 99 ศพ

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 และญาติผู้เสียชีวิต มายื่นหนังสือต่อป.ป.ช. เพื่อทวงถามความเป็นธรรม และขอสำนวนการไต่สวนคดีที่ป.ป.ช.มีมติตีตกสำนวนดังกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยืนยันว่าการมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาเผชิญหน้า หรือท้าทายป.ป.ช. หรือผู้มีอำนาจในบ้านเมือง แต่เห็นว่าการสลายการชุมนุมดังกล่าวมีคนตายมากที่สุด ในการต่อสู้ทางการเมืองของไทย แม้ป.ป.ช. จะยกคดีที่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะอดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ แต่ตัวกฎหมายยังมีช่องทางให้ดำเนินการต่อไปได้ จึงอยากจะขอสำนวนดังกล่าวจากป.ป.ช. เพื่อนำมาพิจารณาว่า ป.ป.ช. ใช้หลักฐานใดพิจารณายกคดีดังกล่าว เพื่อจะได้ไปรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ซึ่งเป็นหลักฐานใหม่มาดำเนินการต่อสู้ต่อไป อาทิ สำนวนคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และอัยการได้สั่งฟ้องในคดี ฆ่าคนตาย ซึ่งศาลฎีกาก็ไม่ได้ยกฟ้องแต่อย่างใด รวมทั้งคำสั่งศาลที่วินิจฉัยว่าผู้ชุมนุม 20 ราย เสียชีวิตจากอาวุธของเจ้าหน้าที่ เพราะหลักฐาน ส่วนนี้อาจไม่ได้นำเข้ามาพิจารณาอย่างครบถ้วน หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้พยานหลักฐานเหล่านี้ จะถือเป็นพยานหลักฐานใหม่หรือไม่

อยากให้คดีมีคนตายถึงศาล

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การขอสำนวนดังกล่าวเพื่อความชัดเจน ตรงไปตรงมา และเทียบดุลพินิจของป.ป.ช. กับกรณีที่ป.ป.ช.จ้างทนายฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และพวก กรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร ปี 2551 ทั้งที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง

เลขาธิการนปช. กล่าวว่า การที่ป.ป.ช.ยกคดีสลายชุมนุมนปช.ปี 2553 แล้วจะถือว่ายุติในชั้นนี้ พวกตนไม่อาจยอมรับได้ อยากให้คดีที่มีคนเจ็บ คนตาย ถึงชั้นศาล ซึ่งเรายืนยันจะแสวงหาความจริง และความยุติธรรมอย่างถึงที่สุด จากนี้หากป.ป.ช.ยังเพิกเฉย ไม่ส่งสำนวนคดีที่ยกฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะใช้สิทธิ์ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารทวงถามความคืบหน้าต่อไป

เสนอแยกไต่สวนเป็นรายกรณี

จากนั้นนายณัฐวุฒิ ทนาย และญาติผู้เสียชีวิต ได้เข้าหารือกับนายจักรกฤช ตันเลิศ ผอ.สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวประมาณ 15 นาที

นายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า เรื่องดังกล่าว ป.ป.ช.ยืนยันว่าไม่ได้เพิกเฉย ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคำร้องของญาติผู้เสียชีวิตที่ยื่นให้ป.ป.ช.ล่าสุด ได้รับการยืนยันจากผอ.สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง 1 ว่า จะเสนอเรื่องต่อที่ประชุมป.ป.ช.ภายในสัปดาห์ หน้า ส่วนจะเปิดเผยสำนวนการไต่สวนหรือไม่ เป็นดุลพินิจของประธานป.ป.ช. ทั้งนี้ ตนได้เสนอแนะไปว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุม เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ต่างกรรม ต่างวาระ มีรูปแบบ และยุทธวิธีที่แตกต่างกัน จึงควรแยกสำนวนการไต่สวนเป็นรายกรณี

“วิญญัติ”ปูดชะลอฟ้องกปปส.

นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามที่จะขอให้อัยการสูงสุดหรืออัยการผู้มีอำนาจสั่งคดี ให้ชะลอฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาคดีกบฏของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยน แปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เพื่อรอผลคำพิพากษาคดี ที่ฟ้อง 4 คน โดยมีข่าวว่า 24 ม.ค.นี้จะให้ระดับแกนนำ 9 คน ไปพบเพื่อที่จะส่งฟ้องไปก่อน ที่เหลือให้คอยปาฏิหาริย์จากสวรรค์

“ถ้าพนักงานอัยการขององค์กรอัยการ ไม่จัดให้ก็ทำได้ยาก เพราะคดีนี้มีการสอบสวน มีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ทั้งกรมสอบสวน คดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และอัยการทีมทำงาน พฤติการณ์แห่งคดีและประชาชนทั้งประเทศเห็นหมดว่าใครทำอะไรเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้นอัยการสูงสุดที่บอกว่าจะไม่ก้าวล่วงการสั่งการของทีมทำงาน คราวนี้จะมีคนขอให้ช่วยอะไรอีก ระวังตำแหน่งทางราชการของท่านจะมีมลทิน ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ผมจะไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้สั่งการอัยการผู้ใต้บังคับที่คิดจะช่วยใครก็ตาม ช่วยทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ด้วย” นายวิญญัติกล่าว

ผู้ตรวจไม่ยื่นกม.กกต.ให้ศาลรธน.

นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า ที่ประชุมผู้การแผ่นดินมีมติยุติเรื่อง กรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ยื่นเรื่องขอให้ผู้ตรวจการฯเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า มาตรา 70 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. ที่บัญญัติว่าให้ประธานกกต.และกกต. ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนที่ พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่กฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

นายรักษเกชากล่าวว่า โดยผู้ตรวจการฯเห็นว่า การที่มาตรา 70 ของพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. กำหนดให้ประธานและกกต. ซึ่งดำรงตำแหน่ง อยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.มีผลใช้บังคับ ให้พ้นจากตำแหน่งนั้น จึงเป็นการกำหนดรูปแบบ 1 ใน 3 รูปแบบที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้รับมอบจากรัฐธรรมนูญให้พิจารณากำหนดได้ ซึ่งเป็นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว

ยันมีมติตามคำวินิจฉัยเดิม

เมื่อถามถึงกรณีนายสมชัย อ้างว่าขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะมีผลย้อนหลัง กระทบต่อสิทธิของ กกต. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนนั้น นายรักษเกชากล่าวว่า เห็นว่าการสมัครเข้าดำรงตำแหน่งของนายสมชัย และกกต. อยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ ไม่ใช่เข้ามาประกอบอาชีพ เพื่อแสวงหาสิทธิประโยชน์ เหมือนการสมัครเข้าประกอบอาชีพอื่น ซึ่งผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งย่อมทราบดีตั้งแต่ต้น จึงไม่ใช่สิทธิ์ดังที่อ้าง ทั้งการพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ก็ไม่ใช่การลงโทษ แต่ให้พ้นโดยผลของกฎหมาย จึงเห็นว่ามาตรา 70 ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 273 ของรัฐธรรมนูญ จึงให้ยุติเรื่องและแจ้งผลวินิจฉัยให้นายสมชัยทราบ

เมื่อถามว่ามติของผู้ตรวจการฯ จะถูกตำหนิ หรือไม่ว่า เพราะผู้ตรวจการฯ ได้ประโยชน์เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้อยู่ต่อ นาย รักษเกชากล่าวว่า ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะคน วินิจฉัยไม่ใช่ผู้ตรวจการฯ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยและวางบรรทัดฐานไว้ว่าการให้พ้นจากตำแหน่งทำได้ทั้ง 3 กรณี ซึ่งของ กกต. ก็เป็น 1 ใน 3 แนวทาง จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ตรวจการฯ จะไปมีมติให้เป็นอย่างอื่นได้ การวินิจฉัย ของศาลมีผลผูกพันทุกองค์กร พิจารณาตามมติศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้กลั่นแกล้ง

มีชัยแนะส่งกม.ปปช.ให้ศาลรธน.ชี้

ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงว่า ขณะนี้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรม การร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่ได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ร่วมกัน 3 ฝ่ายระหว่าง กรธ. สนช. และคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งสนช. พิจารณาเสร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม สนช. ยังต้องรอความเห็นอย่างเป็นทางการจากป.ป.ช.อีกครั้ง ก่อน ซึ่งจะมีกำหนดสิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ในวันนี้

นายพรเพชรกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันนายมีชัยมีข้อเสนอแนะให้สนช.พิจารณาประเด็นเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลของร่างพ.ร.บ. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำรงตำแหน่งต่อไปของ กรรมการป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน เนื่องจากบทบัญญัติ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ยกเว้นให้กรรมการป.ป.ช.ที่มีลักษณะต้องห้าม คือ เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือกรรมการองค์กรอิสระมาก่อน ยังสามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ โดยนายมีชัยเห็นว่าควรเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้เด็ดขาดว่า สามารถกำหนดการยกเว้น ลักษณะต้องห้ามได้หรือไม่ และหากในอนาคต มีการยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญจริง ส่วนตัว คิดว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณา วินิจฉัยได้ โดยไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

โปรดเกล้าฯ”สุภิญญา”พ้นกสทช.

วันที่ 12 ม.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พ้นจากตำแหน่ง

ตามที่ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เป็นกรรมการ กสทช. ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2554 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 7 ต.ค. 2554 นั้น เนื่องจากน.ส.สุภิญญาต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ส่งผลให้เป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 7 ข. (7) แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และต้องพ้นจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2560 และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พ้นจากตำแหน่งต่อไปแล้ว

บัดนี้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง กรรมการ กสทช. ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2560 ประกาศ ณ วันที่ 22 ธ.ค. 2560 ผู้รับสนอง พระราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงกลางเดือนมี.ค. 2560 ศาลฎีกาพิพากษาคดีที่ตัวแทนคดีกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 10 ราย นำผู้ชุมนุมบุกรัฐสภา ปี 2550 เพื่อขัดขวางสมาชิกสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) ไม่ให้พิจารณาร่างกฎหมาย โดยศาลฎีกามีคำพิพากษากลับจากที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เป็นให้รอการกำหนดโทษ นายจอน อึ๊งภากรณ์ อายุ 67 ปี ประธานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมที่ 1 น.ส.สุภิญญา กับพวกรวม 10 ราย เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งต่อมาวันที่ 15 มี.ค. 2560 น.ส.สุภิญญาได้ประกาศยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช.

ลุยเชื่อมวงจรปิดทั่วปท.แล้ว

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ว่า การประชุมในวันนี้มีความก้าวหน้าไปมาก โดยจะต้องตรวจสอบกล้องซีซีทีวีซึ่งมีทั่วทั้งประเทศกว่า 300,000 ตัว เพื่อดูว่าตัวไหนใช้ได้ ตัวไหนใช้การ ไม่ได้และจะต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเพิ่มเติม ซึ่งต้องบูรณาการเชื่อมโยงทั้ง 74 จังหวัด ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่จะแยกออกไป

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะเชื่อมโยงกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะที่จะบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาได้สำรวจสภาพกล้องทั้งประเทศ พบว่ามีกล้องทั้งหมด 367,000 กว่าตัว ทั้งภายในและนอกอาคาร ทั้งระบบอนาล็อกและดิจิตอล ซึ่งอยู่ระหว่างซ่อมแซมประมาณ 8,000 ตัว ทุกส่วนราชการต้องซ่อมแซมหากไม่ทำจะถือว่าบกพร่องในหน้าที่ตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างว่าด้วยพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และต้องเชื่อมโยง กล้องทั้งหมดให้ได้ สำหรับการบริการจัดการและการใช้ประโยชน์นั้น ศูนย์เทคโนโลยีและการจัดการเขตที่ 1-12 ของกระทรวงมหาดไทย เป็นศูนย์ในการจัดการระดับภาค ส่วนศูนย์ระดับจังหวัดจะมีจังหวัดกับ 191 ของแต่ละจังหวัดเป็นผู้บริหารจัดการ นอกจากนั้นจะนำมาตรการทางภาษีมาใช้ในการดึงภาคเอกชนนำกล้องซีซีทีวีมาติดตั้งเพิ่มเติม

พล.ท.คงชีพกล่าวด้วยว่า โดยในระยะที่ 1 ปี 2561-2562 จะนำร่องในจังหวัด 4 จังหวัด ที่มีความพร้อม ประกอบด้วย กทม. ภูเก็ต เชียงใหม่ และนครสวรรค์ เพื่อเป็นต้นแบบ และจะขยายไปในอีก 15 จังหวัด ส่วนระยะที่ 2 จะเชื่อมโยงระบบในอีก 55 จังหวัด ที่ยังต้อง เตรียมความพร้อมในระบบโครงสร้างพื้นฐานก่อน

บิ๊กตู่ร่วมงานสถาปนา”ทภ.1″

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 12 ม.ค. ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธีวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 108 ปี ทั้งนี้ ภายในงานมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ผู้แทนเหล่าทัพ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

ด้านพล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ในวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เน้นย้ำหรือฝากอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ก็ทำตามหน้าที่ นโยบายของผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช.และนโยบายของรัฐบาล ส่วนการดูแลสถานการณ์ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนมีการเลือกตั้ง เดือนพ.ย.2561 เราจะดำเนินการตามคำสั่งของรัฐบาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน