ครม.โยนโครงการ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้รัฐบาลใหม่ ภาระหนี้ 7.8 หมื่นล้านบาท แจงทำตามแนวทางปฏิบัติการยุบสภา

วันที่ 5 ก.ค. 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ของกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่นำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ สำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งขอให้สนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยในอนาคตทั้งหมด

โดยปัจจุบัน กทม. มีภาระหนี้จากงานโครงสร้างพื้นฐานและงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ รวมทั้งสิ้น 78,830 ล้านบาทเศษ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มี.ค. 66 ) มีรายการ ดังนี้ ค่างานโครงสร้างพื้นฐานและค่าจัดกรรมสิทธิ์ 55,034.70 ล้านบาท และค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสำหรับเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานที่ กทม. ได้จ่ายให้ตั้งแต่ปี 2562-2565 จำนวน 1,508.93 ล้านบาท(3) ค่าจ้างงานซื้อขาย พร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ 22,287.23 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทย มีความเห็นว่า เนื่องจากปัจจุบันมี พ.ร.ฎ.ยุบสภา พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว ดังนั้น การขอรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงไม่สามารถเสนอให้ ครม. เพื่อให้พิจารณาได้ เพราะจะเป็นการสร้างผลผูกพันกับ ครม.ชุดต่อไป รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติในการยุบสภาฯ ด้วย โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นให้ ครม.มอบหมายให้ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ส่วนรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีดังนี้ 1.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ในขณะนั้น ยืนยันว่าได้ดำเนินการครบถ้วนและถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติ ครม. และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินการโครงการฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 3/2562 ลงวันที่ 11 เม.ย. 2562 เรื่อง การดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว

2.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. มีแนวทางดำเนินโครงการฯ ดังนี้ 2.1 กทม. เห็นพ้องด้วยกับนโยบายการลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชนและทำให้การบริการสาธารณะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) จึงเห็นควรสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและงานติดตั้งระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ของโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ในกำกับดูแลของ กทม. เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นที่รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้ค่าโดยสารอยู่ในระดับที่ประชาชนสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) ที่เป็นส่วนต่อขยายพื้นที่ให้บริการนอกเขต กทม. และยังมีผู้โดยสารไม่มาก

2.2 กทม.เห็นควรที่จะดำเนินการโครงการฯ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนมีความรอบคอบ มีการพิจารณาข้อมูลรอบด้านและตรวจสอบได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการได้รับการบริการของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ

2.3) จากกรณีที่คณะกรรมการดำเนินการโครงการฯ ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ได้เจรจากับบริษัทเอกชนไว้ว่า บริษัทฯ จะเป็นผู้รับภาระส่วนต่างค่าเดินรถที่ค้างจ่ายอยู่ทั้งหมด กทม.จึงได้หยุดชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2562 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 4 ปี ก่อให้เกิดภาระต่อเอกชนผู้ให้บริการ รวมถึงมีภาระดอกเบี้ยที่อาจจะเกิดขึ้นกับ กทม.ในอนาคต การหาข้อยุติตามการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของ ครม. จะช่วยทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการและประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนซึ่งเป็นผู้ใช้บริการสาธารณะ

ทั้งนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นให้ ครม.มอบหมายให้ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1.ความชัดเจนของการดำเนินโครงการ ให้ กทม.หารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมในประเด็นของระบบตั๋วร่วมการกำหนดอัตราค่าโดยสารการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางและรายละเอียดอื่นๆ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง

รวมทั้งความพร้อมของ กทม.ในการรับมอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตามมติ ครม. (26 พ.ย. 2561) และความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย โดยให้ กทม. ประสานงานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียด รวมทั้งสถานะ หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทและภาระหนี้ และการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติจากการปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2562 เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562

2. สำนักงบประมาณ เห็นว่า กระทรวงมหาดไทย ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลประมาณการวงเงินภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดจนจบสัญญาสัมปทาน (ปี 2572) เปรียบเทียบกับประมาณการ รายได้/สถานะทางการเงินของ กทม. และจัดทำข้อเสนอแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายปี เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ ครม. ในโอกาสแรก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน