รัฐสภา จัดเสวนาวันรัฐธรรมนูญ ไทยสร้างไทย แนะ แก้รธน. ต้องกำหนดชัด คนยึดอำนาจผิดหนัก นิรโทษกรรมไม่ได้ ด้าน “พงศ์เทพ” ขออย่าปิดทางแก้หมวด 1 หมวด 2

เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2566 ที่รัฐสภา มีการเสวนา “พัฒนาการของรัฐธรรมนูญ” เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. โดยนายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญจะทำโดยคน 3 กลุ่ม คือ 1.คณะราษฎร 2.คณะรัฐประหาร และ 3.รัฐสภาและประชาชน

โดยฉบับที่คณะราษฎรทำมีจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ เปลี่ยนอำนาจเป็นของประชาชน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่ายึดอำนาจกี่ร้อยครั้งก็ไม่เคยเปลี่ยนตอนเซ็ปต์นี้ ไม่มีใครกล้าเขียนใหม่ว่าอำนาจไม่ใช่ของประชาชน นี่คือสิ่งที่พัฒนาในทางที่ดี แต่ในทางปฏิบัติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนฉบับที่คณะรัฐประหารทำ แน่นอนว่าทำเพื่อสืบทอดอำนาจ ที่เห็นได้ชัดคือการให้มีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งและให้อำนาจมาก เรียกว่าไม่มีพัฒนาการเลย แต่ที่เป็นพัฒนาการสุดยอด คือ การนิรโทษกรรมตัวเอง ผ่านพระราชบัญญัติ

แต่ที่บ้าไปกว่านั้น ตั้งแต่ฉบับปี 2550 ปี 2560 ก็ยังบอกว่าการยึดอำนาจทั้งหลาย รัฐธรรมนูญก็ให้ถือว่า “ชอบ” หมด รัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่ขณะนี้จึงเกิดปัญหา

นายโภคิน กล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีการถกเถียงกันมาก แต่ที่ต้องโฟกัส คือ ที่เกิดรัฐประหารตลอดเวลา เพราะศาลฎีกาในปี 2496 ตีความว่าใครรัฐประหารสำเร็จคนนั้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์ กลายเป็นบรรทัดฐานมาถึงปัจจุบัน

ขณะที่ปี 2510 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตีความ มาตรา 17 ซึ่งเหมือนมาตรา 44 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการใช้อำนาจนั้นมีกรอบกำหนดอยู่ แม้จะเป็นเผด็จการ หากไม่เข้าตามกรอบก็ไม่ถูกศาลฎีกาตีความ ดังนั้น ต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ โดยกำหนดว่าการรัฐประหารเป็นกบฏ มีความผิดร้ายแรง จะนิรโทษกรรมไม่ได้

โดยบทบัญญัติเช่นนี้ให้ถือเป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุด แม้ว่าไม่มีรัฐธรรมนูญหรือรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นใหม่ๆ ต่อไป ก็ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ หากมีการยึดอำนาจเมื่อไหร่ พ้นจากอำนาจจะต้องติดคุก

ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาพรรค พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีการบอกว่าจะไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 ถือเป็นกรณีพิเศษที่เราไม่เคยทำมาก่อน แต่การเขียนแบบนี้อาจทำให้มีปัญหาได้ เพราะรัฐธรรมนูญยึดโยงกันทั้งฉบับ และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ มีบทบัญญัติที่ว่าด้วยองคมนตรี จะต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา

สมมติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บอกว่าไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกวุฒิสภาแล้ว หรือจะเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างอื่น ก็ต้องแก้ในหมวด 2 ดังนั้น ให้ยึดเฉพาะหลักการใหญ่คือรูปแบบของรัฐ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แค่นั้นก็กว้างพอสมควรแล้ว แต่ถ้าไปลงว่าจะแก้อะไรไม่ได้เลยในหมวด 1 หมวด 2 อาจมีปัญหาได้

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า สังคมไทยต้องยอมรับว่าเรามีความแตกแยก มีความเห็นต่าง โดยที่ไม่ฟังอีกฝ่ายเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี ประเทศอยู่ไม่สงบสุข พัฒนาไม่ได้ ดังนั้น การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นจังหวะดีที่คนในสังคมไทยจะเปิดใจฟังกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่คำนึงว่าเป็นใคร ใส่เสื้อสีอะไร ทำให้เรามีโอกาสช่วยกันคิด ช่วยกันทำมีความปรองดองได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามการทำประชามติว่าต้องทำกี่ครั้ง ซึ่งต้องใช้งบประมาณมากกว่า 3 พันล้านบาท ตนเคยถามนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ขอให้ท่านยื่นญัตติด่วนบรรจุเข้าพิจารณาในสภา แม้จะยังไม่มีการทำประชามติก็ตาม เพื่อส่งเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้มีการวินิจฉัย

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ซึ่งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยโดยใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือน เชื่อว่าถ้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญก็จะใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือนเช่นกัน ทำให้เรามีโอกาสไม่ต้องเสียเงิน 3,000 กว่าล้านบาท และประหยัดเวลาไปกว่า 4-5 เดือน เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ขณะที่ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การฉลองรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ฉลองในตัวรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการฉลองที่ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึงหลักการที่ว่าปวงชนชาวไทยคือเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ และทุกคนมีความเสมอภาค มีสันติภาพ โดยประชาชนมีสิทธิอออกเสียงในการเลือกรัฐบาลและนโยบายที่แต่ละรัฐบาลเสนอมา นั่นคือการฉลองรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ มองว่าที่ผ่านมา สิ่งที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ และไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง คือ การเขียนรัฐธรรมนุญในอ่านและเข้าใจง่าย ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 60 ให้อำนาจ สว.แต่งตั้ง เทียบเท่ากับ สว.เลือกตั้ง แต่มีที่มาจากคณะรัฐประหาร ตนมองว่านี่คือปัญหาใหญ่ และอำนาจสูงสุดรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ อำนาจสูงสุดเป็นของคณะรัฐประหาร

นายปริญญา กล่าวว่า ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าหลักการของบ้านเมือง คือ ประชาชนต้องเป็นเจ้าของสูงสุดของประเทศ และเป็นการปกครองตนเองของประชาชนเจ้าของประเทศ ซึ่งเราจะเลือกพรรคแตกต่างกันอย่างไร แต่ก็จบลงที่การเลือกตั้ง ถ้ามีประชามติก็จบที่ประชามติ นี่คือสิ่งเรายังต้องศึกษาอีกพอสมควร เพราะรัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ใช้จิตวิญญาณของการฉลองรัฐธรรมนูญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน