ป.ป.ช. ชี้ชัด เศรษฐกิจ ยังไม่วิกฤต ยก 4 ประเด็น สุ่มเสี่ยงดิจิทัลวอลเล็ต แนะ 8 ข้อป้องกันทุจริต หวั่นสร้างหนี้ระยะยาว ชง กกต. สอบนโยบายหาเสียง

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. พร้อมด้วย น.ส.ฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผอ.สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าเรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

นายนิวัติไชย กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช. ให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 32

ในการเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการในการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ

เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งนโยบายดังกล่าวใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และอาจสร้างภาระการคลังในระยะยาว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงแต่งตั้ง คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลในโครงการนี้ฯ เพื่อศึกษารายละเอียด ผลกระทบ และความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว

โดยมีการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมถึงการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล จากส่วนราชการและหน่วยงาน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จากการศึกษามีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา 4 ประเด็นหลัก ๆ ได้แก่

1.ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริต อาทิ ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ความเสี่ยงต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการฯ








Advertisement

2.ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงินการคลังในอนาคต

และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชน ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรมีการจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกที่จะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า

3.ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย รัฐบาลต้องตระหนักและใช้ความระมัดระวังอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560

พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 พ.ร.บ.เงินคงคลัง 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ก.พ.67 พิจารณาแล้ว มีมติเห็นควรเสนอข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลในโครงการดังกล่าว โดยมีข้อเสนอแนะ จำนวน 8 ข้อ ดังนี้

1.รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการตามนโยบาย รวมทั้งชี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการ เอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย

รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริง เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อให้สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

2.การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 และพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกัน

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้นจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองที่หาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้

3.การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการนี้ ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส การถ่วงดุล การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง และความคล่องตัว

ซึ่งรัฐบาลพึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดีผลเสียที่จะต้องกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงินจึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชำระหนี้จำนวนนี้เป็นระยะเวลา 4-5 ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ

4.การดำเนินโครงการดังกล่าว ครม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 (มาตรา 172) พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 (มาตรา 53)

พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6) พ.ร.บ.เงินตรา 2501 ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย

5.ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการอย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง และการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการ

ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 53 มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการนี้ สามารถดำเนินการได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติอย่างแท้จริง

6.ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการนี้ ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน

7.จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รวบรวมและประมวลข้อมูล จากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น

ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน รัฐบาลควรพิจารณาและให้ความสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น

ในกรณีที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชน ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 และพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน

8.หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน เปราะบาง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ตามพ.ร.บ.เงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน

โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบสามารถทำได้รวดเร็ว การดำเนินการกรณีนี้ หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพ.ร.บ.เงินกู้ จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 และขัดพ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสำคัญไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว

เมื่อถามว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการดังกล่าวหรือไม่ และภาวะเศรษฐกิจวิกฤตหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ประเทศไทยจะอยู่ในภาวะวิกฤตหรือไม่นั้น ป.ป.ช.มีมุมมองว่า อาจจะยังไม่เข้าขั้นวิกฤต แต่ในมุมของรัฐบาล อาจมองว่า วิกฤต

ซึ่งเรื่องนี้ป.ป.ช.ได้ส่งข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่การคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะทุจริตหรือไม่ สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะต้องเป็นผู้อธิบายในโครงการนี้ ถ้ามีเหตุมีผลรัฐบาลก็สามารถขับเคลื่อนได้

เมื่อถามว่าในข้อเสนอแนะข้อที่ 8 ที่ระบุว่าการจ่ายเงินเป็นงวดๆ เป็นการชี้นำให้ดำเนินการเหมือนรัฐบาลชุดก่อนหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า เป็นเพียงการยกตัวอย่างในสิ่งที่เคยมี ป.ป.ช.ไม่ใช่หน่วยงานที่ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เพียงแต่ยกอันเดิมมา ซึ่งเป็นความเหมาะสมว่ารัฐบาลจะทำได้

เมื่อถามว่าโครงการนี้เป็นการเอื้อกลุ่มนายทุนหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่เห็นว่าจะมีกลุ่มทุนกลุ่มไหนมาทำ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการนี้ และจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่ง 8 ข้อเสนอแนะนี้เป็นเพียงข้อเสนอแนะทางวิชาการที่หลากหลายสาขา ไม่ใช่ความคิดเห็นของป.ป.ช.ที่คิดเองเออเอง เป็นข้อเสนอแนะให้รัฐบาลพิจารณา

ซึ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการนี้หรือไม่ และถ้ารัฐบาลตัดสินใจทำ เราก็ดูลำดับการขับเคลื่อนต่อ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ดึงดันจะทำโครงการนี้ เพราะยังชี้แจงอยู่ว่าจะรอข้อเสนอแนะจากป.ป.ช. ทั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศ ไม่ได้มีอคติอะไร และป.ป.ช.ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการแต่อย่างใด

เมื่อถามว่าโครงการนี้จะซ้ำรอยจำนำข้าวหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ตอบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต เพราะถ้าชิงด่วนสรุปไปแล้ว วินิจฉัยไม่ได้ ก็ไม่ถูกต้อง

ส่วนกรณีประชาชนบางส่วนอาจตำหนิ ป.ป.ช. เนื่องจากไม่สนับสนุนโครงการนี้ในทางที่ดีนั้น นายนิวัติไชย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ถ้าไม่ทำ จะโดนด่ามากกว่าหรือไม่ เราทำเพราะหน้าที่ ส่วนฟีดแบ็กเรายอมรับ ด้านผลกระทบ ความพึงพอใจแต่ละคนห้ามไม่ได้ แต่ขอให้คุยเรื่องเหตุและผล

“ยืนยันป.ป.ช.ไม่ได้ค้านการดำเนินโครงการ แต่มีข้อเสนอแนะ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจยับยั้งการดำเนินโครงการ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ ป.ป.ช. เว้นแต่มีความผิดเกิดขึ้น มีการทุจริตไปแล้ว ป.ป.ช. อาจร้องต่อศาล หลังส่งสำนวนไปเพื่อฟ้อง เพื่อยกเลิกการอนุญาต เช่น การเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน โฉนด เป็นต้น ตามข้อเท็จจริง เป็นขั้นตอนปราบปราม” นายนิวัติไชย กล่าว

นายนิวัติไชย กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ช. เสนอมาตรการไปหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อรถเมล์ NGV โครงการทางหลวง การจัดเก็บเงินรายได้กรมอุทยาน ความจริง ป.ป.ช. ทำมานานแล้ว เป็นไปตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. มาตรา 32 วันนี้เพิ่มมาตรา 35 ไปอีก เพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่ ป.ป.ช. ทำ ดีกว่าไปนั่งเอาผิดเขา ไม่ใช่ปล่อยเขาทำผิด แล้วไปจับผิดเขา แบบนั้นขี่ช้างจับตั๊กแตน รัฐเสียหายไปแล้ว วันนี้เราทำงานเชิงรุก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน