อภิสิทธิ์ ชี้ ต้องไม่ผูกขาดการเรียนรู้ แนะ แจกเงินหมื่นเป็นคูปอง ไปเรียนทักษะ-ภาษาจีน จะมีประโยชน์ระยะยาวกับประเทศมากกว่า

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ก.พ. 2567 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนาเรื่อง “เปลี่ยนการศึกษาไทย พลิกโฉมใหม่ให้ประเทศ” โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ พระพรหมบัณฑิต ประยูร ธมฺมจิตโต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ร่วมอภิปราย โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการสัมมนาประมาณ 550 คน

นายโสภณ ซารัมย์ ประธาน กมธ.การศึกษา เป็นประธานเปิดการสัมมนา ว่า กมธ.เล็งเห็นปัญหาสำคัญของชาติ ซึ่งถึงขั้นวิกฤต คือ ปัญหาทางการศึกษาที่เราประสบอยู่ขณะนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทางกมธ.ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาแห่งชาติให้ทัดเทียมกับนานาชาติ

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าผลการศึกษาหรือการประเมินทั้งในชนบทหรือในเมือง สภาพปัญหาไม่ได้ต่างกัน จะเห็นได้ว่ามีปัญหาทุกบริบทที่อยู่ในวงการศึกษา วันนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะได้ร่วมกันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ขึ้นมาโดยฝ่ายนิติบัญญัติให้สำเร็จ

ด้าน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าหลักการของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ยังคงเหมือนเดิม แต่ต้องมีการขยายไปถึงการทำให้สังคมมีความสุขด้วย แต่ตนมองว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายในหลายๆ เรื่อง แม้ว่ากฎหมายมีการบังคับใช้ไปแล้ว

มีการถกเถียงเรื่องการปรับโครงสร้าง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงจนทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ และปัจจุบันการศึกษาต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ในอดีตหากประชาชนไม่ได้รับการศึกษา ก็จะทำให้ขาดความรู้ ขาดข้อมูล แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่เด็กเล็กๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมด นั่นแปลว่ากระบวนการการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องผูกขาดการเรียนรู้เหมือนในอดีต

ยังไม่นับการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในขณะนี้ ตนเชื่อว่าอีก 2-3 ปีข้างนี้จะเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ของคนเปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิง ระบบการศึกษาต้องเปลี่ยนหน้าที่จากการให้ความรู้ มาเป็นการให้ทักษะในการกลั่นกรองข้อมูลมาเป็นความรู้ได้ถูกต้องแม่นยำด้วยตนเอง

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดยังส่งผลต่อ เพราะเราก้าวเข้าสู่ยุคสังคมหลังอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบมากขึ้น หมายความว่าความคาดหวังของคนรุ่นใหม่กับอนาคตไม่เหมือนเดิมแล้ว คนรุ่นใหม่ตั้งเป้าหมายในชีวิตต่างกับคนรุ่นก่อน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าท้ายกับการศึกษาแบบเดิมที่ป้อนคนเข้าสู่อุตสาหกรรม แต่เป็นการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง

ในอดีตรัฐบาลเคยคิดว่าแก้ปัญหาเรื่องโอกาสทางการศึกษาได้แล้ว แต่โครงสร้างการศึกษาที่เปลี่ยนไป มีเด็กตกหล่นจากการเข้าสู่ระบบการศึกษาจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่สูงมาก แม้ปัจจุบันยังมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอและสามารถทำงานในเชิงรุกได้ เช่นเดียวกับคุณภาพการศึกษาที่ลดลง

รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เรามองข้าม คือปัญหาโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป ในอนาคตจะมีเด็กที่มาจากผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น มีเด็กจากการย้ายถิ่นมากขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาออกกฎหมายและนโยบายให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป

ดังนั้นสิ่งที่กฎหมายฉบับใหม่ควรมี คือการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้รัฐไม่อยู่ในฐานะที่จะผูกขาดในการจัดให้ จึงควรเขียนในกฎหมายว่า รัฐจะให้แรงจูงใจภาคส่วนอื่นๆ ในสังคมอย่างไร ในการมาช่วยส่งเสริมการศึกษา และคงต้องเขียนเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในเรื่องการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ เพราะต่อไปนี่คือหัวใจสำคัญที่ทุกคนจะต้องมีโอกาสในการได้เรียนรู้ ปรับทักษะของตัวเอง

“ผมยังคิดเล่นๆ เลยว่า แทนที่จะได้เงินคนละ 10,000 บาท สมมติว่าได้คูปองมูลค่าไม่ต้องถึง 10,000 บาทก็ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่าให้เอาคูปองนั้น ไปใช้เรียนรู้ทักษะอะไร 1 อย่าง จะไปเรียนภาษาจีนก็ได้ จะเรียนบัญชีก็ได้ จะเข้าใจระบบภาษีให้ดีขึ้นก็ได้ เอาเงินไปแล้ว ก็ไปเรียนรู้อันนั้น ผมคิดว่า ประโยชน์ระยะยาวกับประเทศจะดีกว่าหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน