จากยุทธศาสตร์ที่ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี)ที่ตอกย้ำมาตลอดว่า ทุกประเทศล้วนมีธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ที่สนับสนุนกันเพื่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ โดยธุรกิจขนาดใหญ่ในแต่ละประเทศมีความจำเป็นในการเป็นกันชนเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจไทยเหลือผู้เล่นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย เพราะไม่ว่าธนาคาร โทรคมนาคม ธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค ส่วนใหญ่ล้วนมีเจ้าของเป็นต่างชาติ

ดังนั้นการสนับสนุนให้คนไทยร่วมด้วยช่วยกัน โดยธุรกิจใหญ่จะทำหน้าที่เปิดตลาดให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะการพาออกไปแข่งขันในต่างประเทศ จึงมีความสำคัญ

สำหรับดีลเทสโก้ โลตัส ที่กลุ่มซีพีได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ในการซื้อกลับมาจาก ‘เทสโก้ สหราชอาณาจักร’ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี 10% ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ทำให้คู่ค้าและผู้ประกอบการคลายความกังวล นอกจากนี้เงื่อนไขการค้าทั้งหมดกลุ่มซีพีจะคงไว้แบบเดิม

ในประเทศไทยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนและอยู่ในระบบมากกว่า 2.7 ล้านราย ทำให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศสูงถึง 80% คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 4.5 ล้านล้านบาท หรือ มากกว่า 35% ของจีดีพี แต่ปัญหาอุปสรรคสำคัญของเอสเอ็มอีก็ยังมีอยู่ นั่นคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ตรงตามความต้องการของตลาด รูปแบบธุรกิจที่ยังไม่สอดคล้องกับสภาพการตลาดสมัยใหม่ รวมทั้งการดำเนินธุรกิจให้ได้มาตรฐานสากล ทำให้เสียโอกาสในการต่อยอดและขยายตลาด ความร่วมมือกับเทสโก้ โลตัสในครั้งนี้ เป็นโครงการในรูปแบบประชารัฐ ที่มุ่งหวังสร้างการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจให้เอสเอ็มอีมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้น และได้รับการพัฒนาเชิงนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์การเป็นเอสเอ็มอี 4.0 ได้

โลตัส มีคู่ค้าที่เป็นเอสเอ็มอี มากกว่า 80% ซึ่งเป็นคู่ค้าที่นำสินค้ามาจำหน่ายในชั้นวางสินค้าของเทสโก้ โลตัส ในขณะที่มี ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มาเช่าพื้นที่ของ เทสโก้ โลตัส มากกว่า 7,000 รายในแต่ละปี การจัดงานในครั้งนี้ เทสโก้ โลตัส และกระทรวงพาณิชย์ มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และต่อยอดทางธุรกิจให้เกิดการค้าขายอย่างครบวงจร โดยมี เทสโก้ โลต้ส ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมมากกว่า 1,800 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการค้าแบบออนไลน์

ที่ผ่านมาโลตัส ได้ดำเนินโครงการรับซื้อผักตรงจากเกษตรกร ครบทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย สร้างรายได้ที่เป็นธรรมและมั่นคงให้กับกลุ่มเกษตรกร และส่งมอบผักสดคุณภาพสูง ปลอดภัย ถึงมือลูกค้าทั่วไทยทุกวัน วางแผนขยายโครงการจากเกษตรกร 600 รายเป็น 1,000 รายในสิ้นปี 2563 ล่าสุดขึ้นไปเปิดโครงการรับซื้อที่ภาคเหนือ ณ วิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ผักปลอดภัย ต.อุโมงค์ อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน และจะต่อยอดขยายผลในปี2564 ไปยังเกษตรกรทุกภูมิภาคอีกด้วย


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน