“ภาวะโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่กำลังย่างเข้าสู่ภาวะโลกเดือด” คำกล่าวของ นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้แสดงให้เห็นว่า ภาวะโลกร้อนกำลังใกล้ถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขกลับคืนได้อีก การลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ได้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญแห่งศตวรรษที่ประชาคมโลกต้องมีส่วนร่วม

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และมรสุม ที่เป็นผลพวงจากโลกร้อน ตลอดจนความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกภาคส่วน

ที่ผ่านมาภาคธุรกิจของไทยจึงได้ปรับทิศทาง ดึงศักยภาพ และเปิดสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับแนวทางของ ESG โดยได้พัฒนาด้านความยั่งยืน (Sustainability) ในหลากหลายด้าน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญสู่อนาคตเศรษฐกิจที่ต้องเติบโตในวิกฤติ Climate Change เพื่อให้โลกธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ อันจะส่งผลต่อมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน

ในขณะที่ภาพรวมของประเทศ ก็ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในอนาคตมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก จึงไม่ใช่เพียงแค่ความจำเป็น แต่ยังเป็น “โอกาสสำคัญด้านการลงทุน” ภายใต้ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยจึงไม่เพียงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับระเบียบใหม่ของโลกที่เปลี่ยนไป แต่ยังต้องดำเนินการเชิงรุก สร้างความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการลงทุนในกิจกรรมที่ลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน