บิ๊กตู่เผย “ในหลวง” ทรงพระราชทานความห่วงใย มีรับสั่งถึงการเมือง อยาก ให้ทุกคนรัก-สามัคคีบ้านเมืองปลอดภัย-ยั่งยืน เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องทำให้เรียบร้อย 228 ต่อ 0 ให้แก้ รธน.ชั่วคราว สนช.ผ่านฉลุย 3 วาระรวด วิษณุแจงเหตุต้องแก้ เปิดช่องนายกฯ ขอพระราชทานร่าง รธน.กลับมาแก้ไข ให้สอดคล้องข้อสังเกตที่ทรงพระราชทานลงมา

ในหลวงทรงขอให้รัก-สามัคคี

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้ตนในฐานะ นายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และองคมนตรี เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงห่วงใยและให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัยแล้ว พระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งลงมาครอบคลุมเรื่องสถาน การณ์บ้านเมือง อยากให้ทุกคนมีความรัก ความสามัคคีและอยู่ในความสงบ ทำให้บ้านเมือง มีความปลอดภัย ยั่งยืน เป็นที่เชื่อมั่นของนานาชาติ ขอให้ทุกคนมีความรักสามัคคี ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานความห่วงใย ด้วยจากพระทัยของพระองค์เอง

ต่อมาเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ตามมติที่ประชุมร่วมของครม.และคสช.นั้น ทางรัฐบาลได้หารือกับ สนช.แล้ว สามารถดำเนินการได้โดยไม่กระทบต่อกระบวนการตามโรดแม็ป จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้ใจว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอน

สนช.ถกแก้รธน.ชั่วคราว

ที่รัฐสภา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่…)พ.ศ….. แบบ 3 วาระรวด ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้เสนอ โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม เป็นตัวแทนครม.ชี้แจงเหตุผลการขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ต่อที่ประชุมสนช.

โดยพล.อ.ประวิตรชี้แจงว่า ครม.และคสช.มีมติเห็นควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวพ.ศ.2557 บางประเด็น เนื่องจากมีเหตุจำเป็นบางประการ

วิษณุแจงแก้ 2 ประเด็น

ด้านนายวิษณุชี้แจงว่า การแก้ไขครั้งนี้มี 2 ประเด็น ประเด็นแรกเป็นการเพิ่มข้อความใหม่ในวรรคสาม ของมาตรา 2 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในบางกรณี

และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 39/1 วรรค สิบเอ็ด เกี่ยวกับการให้อำนาจนายกฯ ขอพระราชทานนำร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ทูลเกล้าฯ กลับมาปรับปรุงแก้ไขในบางประเด็นอีกครั้งหนึ่ง และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ส่วนเหตุผลนายกฯ ได้นำร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2559 ต่อจากนั้นร่างรัฐธรรมนูญก็ตกอยู่ในพระราชอำนาจที่จะทรงพิจารณา ซึ่งมีกำหนดเวลา 90 วัน

นายวิษณุกล่าวว่า ในระหว่างเวลาดังกล่าวสำนักราชเลขาธิการได้แจ้งมายังรัฐบาลว่าได้มีข้อสังเกตบางประการ ซึ่งสมควรที่รัฐบาลจะรับไปดำเนินการ และเมื่อรัฐบาลได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับคสช.แล้วเห็นเป็นข้อสังเกตที่สมควรดำเนินการในขณะนี้

ชี้ต้องทำเลย-ลดผลกระทบ

“เพราะหากผัดผ่อนที่จะรอดำเนินการต่อไป สมมติว่าเมื่อรอให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วจึงค่อยดำเนินการแก้ไข แม้กลไกทางกฎหมายจะทำได้ แต่จะเกิดปัญหายุ่งยาก เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายแล้ว การจะแก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางข้อความ หรือบางมาตรา หรือบางหมวดจำเป็นจะต้องนำไปให้ประชาชนออกเสียงประชามติเสียก่อน และจะเป็นภาระผูกพันต่อไปอีกยืดยาว จะกระทบต่อเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง แต่หากสามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประเด็นที่เล็กน้อยให้เสร็จสิ้นในขณะนี้ และนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพิจารณาใหม่ น่าจะเป็นการชอบด้วยวิธีปฏิบัติทั้งปวง และน่าจะเป็นการเหมาะสม และ ไม่เกิดความยุ่งยากขึ้น” นายวิษณุกล่าว

นายวิษณุกล่าวต่อว่า ปัญหามีอย่างเดียว คือร่างรัฐธรรมนูญเหมือนร่างกฎหมายทั่วไป เมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้วถือว่าตกอยู่ในพระราชอำนาจ รัฐบาลหรือผู้ถวายจะขอนำมาปรับปรุงได้อย่างไร เรื่องนี้หากจะทำไม่ได้หรือทำไม่ถูกต้องคือการใช้อำนาจในทางกฎหมาย เพราะทุกอย่างถูกตรึงอยู่โดยข้อกำหนดในกฎหมาย เช่นจะต้องถวายเมื่อใด ภายในกี่วัน พระราชอำนาจที่จะทรงพิจารณามีกำหนดเท่าใด เมื่อถวายไปแล้วพระราชอำนาจจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าหากทำให้ข้อกฎหมายกระจ่าง รัฐบาลสามารถขอนำมาปรับปรุงแก้ไข ก็น่าจะดำเนินการได้โดยไม่มีข้อขัดข้องในทางกฎหมาย

ให้เปิดช่องขอรธน.กลับมาแก้ไข

นายวิษณุกล่าวด้วยว่า ส่วนปัญหาที่อาจจะมีผู้นึกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการออกเสียงประชามติมาแล้ว การที่จะขอรับพระราชทานกลับมาปรับปรุงแก้ไขจะเป็นการชอบด้วยเหตุผลประการใด ขอเรียนว่าขั้นตอนทุกอย่างมีการกำหนดไว้ เมื่อรัฐบาลนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อถวายแล้วทุกอย่างก็พ้นขั้นตอนสุดท้าย คือการตกอยู่ในพระราชอำนาจ ในฐานะองค์พระประมุข และผู้ที่จะทรงลงพระปรมาภิไธย รัฐธรรมนูญใช้คำว่า “ทรงพิจารณา” และเป็นที่ทราบทั่วไปว่า จะเป็นร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใดก็ตามที่เมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ทรงพิจารณา และเมื่อพิจารณาแล้วหากไม่ทรงเห็นชอบด้วยก็ประทานกลับคืนทั้งฉบับ ดังที่เกิดมาแล้วในอดีต เช่นในสมัยรัชกาลที่ 7 และในรัชกาลที่ 9 โดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย และเป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะคิดดำเนินการต่อไปอย่างไร เช่นถ้าหากเห็นพ้องด้วยพระราชดำริก็ทำให้ร่างนั้นตกไป

นายวิษณุกล่าวว่า รัฐบาลและคสช.จึงเห็นควรทำในบัดนี้ให้ถูกต้องและถูกกฎหมาย โดยถือว่าทั้งหมดตกอยู่ในขั้นตอนในชั้นการใช้พระราชอำนาจ คือการขอแก้ไขรัฐธรรม นูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ให้มีข้อความที่ให้อำนาจความชอบธรรมแก่นายกฯ ที่จะขอพระราชทานนำกลับคืนมาแก้ไข

แก้เฉพาะเรื่องพระราชอำนาจ

“แต่ถ้าหากเขียนลอยๆ จะเป็นที่ครหาได้ว่า รัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามตินายกฯจะนำกลับมาปรับปรุงแก้ไขตามใจชอบหรืออย่างไร ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเรื่องการใช้พระราชอำนาจ ดั่งที่สำนักราชเลขาธิการได้แจ้งมา จึงควรเป็นเรื่องที่ครม.หรือใครก็ตามที่ขอรับเรื่องกลับคืนมาแก้ไขเพิ่มเติม เฉพาะประเด็นที่เป็นไปตามหนังสือที่สำนักราชเลขาธิการแจ้งมาเท่านั้น หากจะมีอย่างอื่นพาดพิงออกไป ก็เป็นการเก็บประเด็นที่ตกค้างเกี่ยวเนื่องให้เสร็จสิ้นเท่านั้นเอง หาควรที่จะไปบังอาจปรับปรุงแก้ไขเรื่องอื่นที่ไม่อยู่ในข้อสังเกตที่สำนักราชเลขาธิการเชิญมาแต่ประการใด

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวดังกล่าวเพื่อให้เกิดอำนาจและความชอบธรรม ที่จะขอรับพระราชทานกลับมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนที่รอบคอบรัดกุม และเมื่อจะมีการแก้ไขในส่วนนี้อยู่แล้ว ครม.ได้ทราบจากหนังสือที่สำนักราชเลขาธิการแจ้งมา ข้อสังเกตที่ได้พระราช ทานมานั้นมีเรื่องอะไร ประเด็นใด ที่อาจจะจัดการให้ลุล่วงไปในเวลานี้ ก็ควรจะใส่ไว้ จึงทำให้เกิดหลักการขึ้นมาอีกข้อหนึ่งในการเพิ่มข้อความในวรรคสาม ของมาตรา 2 โดยมาตรา 2 เดิมมี 2 วรรค ซึ่งวรรคแรกพูดถึงการปกครองของประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข วรรคสอง เป็นเรื่องการให้นำหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 มาใช้บังคับ แต่เมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะไปกระทบกับส่วนของการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากจะไปรื้อข้อความในวรรคสอง เท่ากับจะไปรื้อข้อความในหมวดพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ควรทำเป็นการถาวร คือไปทำในร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติที่จะขอรับพระราชทานกลับมาปรับปรุงแก้ไขในอนาคตมากกว่าที่จะแก้ไขชั่วคราว ซึ่งจะใช้ระยะเวลาบังคับอยู่ไม่นานนัก เพราะฉะนั้นจึงทำให้เกิดเพิ่มเติมการแก้ไขขึ้นอีกมาตราหนึ่ง คือเพิ่มความเป็นวรรคสามเกี่ยวกับการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

pastedGraphic_1.png

แฝดสาม– เด็กๆ ยืนถ่ายรูปคู่กับภาพถ่ายขนาดเท่าตัวจริงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งไว้รอบๆ บริเวณทำเนียบรัฐบาล เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.

ขอปรับปรุงถ้อนคำมาตรา 3-4

จากนั้นสมาชิกสนช.ได้อภิปรายสนับสนุนหลักการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 และลงมติรับหลักการวาระ 1 ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เห็นชอบด้วยคะแนน 229 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 ซึ่งถือว่ามีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 124 เสียงขึ้นไป

ต่อมาที่ประชุมสนช.ตั้งกรรมาธิการเต็มสภา เพื่อพิจารณาเรียงตามมาตรา ในวาระ 2 ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 4 มาตรา ตามร่างที่ครม.และคสช.เสนอมา โดยนายวิษณุแจ้งว่า ครม.และคสช.ขอปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา 3 ให้เกิดความชัดเจนขึ้น จากเดิมระบุว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง” เป็น “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาใช้บังคับ”

โหวต 3 วาระ-ผ่านฉลุย 228 ต่อ 0

นายวิษณุ ยังแจ้งต่อที่ประชุมสนช.ว่า ครม.และคสช.ขอปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในมาตรา 4 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง โดยเพิ่มถ้อยคำจากเดิมที่ระบุว่า “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน” เป็น “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทานและประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันได้”

จากนั้นที่ประชุมสนช.ลงมติในวาระ 3 ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เห็นชอบคะแนน 228 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เพื่อ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และปิดประชุมในเวลา 12.50 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที

มีชัยชี้โรดแม็ปยังเป็นไปตามเดิม

นายมีชัย ฤชุพันธ์ุ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรม นูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ถึงการทำงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติว่า ขณะนี้ยังไม่ประชุม ต้องรอการประสานงานของทางรัฐบาลและคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้การปรับร่างรัฐธรรมนูญหลังจากได้รับพระราชทานคืนมานั้น จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่แก้ไขแล้ว ส่วนขั้นตอนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะปรับร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเมื่อไร และจะส่งคณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นมาได้เมื่อไร

เมื่อถามว่ากำหนดเวลาจะเลยโรดแม็ป ไปกี่เดือน นายมีชัย กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ ตนเห็นว่าโรดแม็ปยังเป็นไปตามเดิม ตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งเลย

เผยหวังว่ากรธ.ไม่ต้องอยู่นาน

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กำหนดการอาจจะต้องขยายเวลาจนถึงปี 2562 นายมีชัย กล่าวว่า ถ้ากรธ.ไม่ต้องอยู่ไปถึงขนาดนั้นได้ ก็เป็นเรื่องดี ใครจะนานอย่างไรก็แล้วแต่เขา สำหรับ กรธ.คงอยู่เพื่อยกร่างกฎหมายลูกทั้งหมดให้เสร็จตามกำหนดเวลาเดิม

นายมีชัยกล่าวอีกว่า การยกร่างกฎหมายลูก กรธ.ทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ตอนนี้มีเวลารับฟังความคิดเห็นต่างๆ มากขึ้น และนำเอาความเห็นที่จำเป็นเหล่านั้นมาเปลี่ยนเนื้อหาสาระของกฎหมายลูกกันแทบทุกวัน ส่วนของกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง อีกประมาณ 2 อาทิตย์ กรธ.จะดูความเห็นที่เข้ามาทั้งหมดเพื่อปรับแก้ตัวเนื้อหาของกฎหมายอีกทีหนึ่ง

เมื่อถามถึงการหารือกันภายในระหว่าง กรธ.และสนช.เรื่องเนื้อหาของกฎหมายลูก ก่อนที่กรธ.จะส่งไปให้ สนช.พิจารณา นาย มีชัย กล่าวว่า ถ้าสนช.ขอร่างกฎหมายลูกที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปศึกษาก่อน กรธ.ก็พร้อมส่งไปยังสนช.ได้เลย ที่ผ่านมาก็ทยอยส่งไปให้สนช.ตลอด จริงๆ แล้วเนื้อหาร่างกฎหมายลูกนั้นไม่ได้เป็นความลับ นำขึ้นบนเว็บไซต์ตลอด แต่ถ้ามีการแก้ไขแค่ไม่กี่คำ ก็อาจจะไม่ทันได้ขึ้นบนเว็บไซต์

อจ.จี้คืนสิทธิประกันให้”ไผ่”

วันเดียวกันนี้ คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดยนายสมชาย ปรีชาศิลปกุล น.ส.นัทมน คงเจริญ น.ส.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล น.ส.อุษณีย์ เอมศิรานันท์ นายปีดิเทพ อยู่ยืนยง นายกฤษณ์พชร โสมณวัตร และนายสงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้คืนสิทธิการประกันตัวให้กับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกจับกุมซึ่งตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญของไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญของไทย รับรองว่า ผู้ต้องหาต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุดว่าเขาได้กระทำความผิด

คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความเห็นว่า แม้สังคมไทยอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติและมีการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง แต่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญซึ่งต้องได้รับการปกป้องไว้ การพิจารณาคืนสิทธิประกันตัวตามหลักการและบทบัญญัติของกฎหมายให้กับนายจตุภัทร์ จะแสดงให้เห็นว่าสถาบันและระบบกฎหมายของไทยยังคงยืนหยัดอยู่บนหลักการที่ให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมของระบบกฎหมาย

รมต.ใช้กม.สุดๆค้นธรรมกาย

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม(ยธ.) นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรมว่า หลังจากตนเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นรมว.ยุติธรรมนั้น ทางนายกรัฐมนตรีไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่สั่งการว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตนได้ให้นโยบายภาพรวมกับทุกกรมในกระทรวงยุติธรรมไปแล้ว โดยในส่วนของดีเอสไอนั้นก็มีเรื่องสำคัญที่มอบให้พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ว่า 1.กฎหมายให้อำนาจดีเอสไอไว้อย่างไรก็ให้ดีเอสไอทำไปตามกฎหมายจนสุดขอบเขตอำนาจของดีเอสไอในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ 2.ให้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เป็นจริง และ 3.ให้ทุกกรมยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง อะไรที่เป็นความเดือดร้อนหรือประชาชนได้ประโยชน์ให้รีบเข้าไปดำเนินการ

ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวถึงการดำเนินการขออนุมัติหมายค้นวัดพระธรรมกายครั้งที่ 3 เพื่อจับกุมพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ยืนยันว่าจะต้องมีการเข้าปฏิบัติการเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการก็ต้องมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในการเข้าค้นนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบและต้องสนธิกำลังร่วมกับตำรวจและทหารเนื่องจากดีเอสไอมีกำลังไม่เพียงพอในการเข้าดำเนินการ ทั้งนี้ คาดว่าเร็วๆ นี้จะสามารถเข้าปฏิบัติการได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน