ชงติดเข็มขัดนิรภัย “แค็บ-กระบะ” คมนาคมจับมือตร. เสนอกรมการขนส่งฯ ออกหลักเกณฑ์ 3 ข้อเพื่อความปลอดภัย ให้ติดเข็มขัดนิรภัย ในแค็บ2 จุด หรือ 3 จุด รถกระบะบรรทุกให้นั่งได้ไม่เกิน 6 คน แต่ต้องติดราวจับยึดหรือ รัดเข็มขัด จำกัดความเร็วไม่เกิน 80 ก.ม. ต่อชั่วโมง ขณะที่อธิบดีกรมการขนส่งฯ ระบุ ได้หารือกับ รมช.คมนาคม มีความเห็นตรงกันต้องผ่อนผัน ผ่อนคลายกฎหมายจราจร เพื่อให้สอดคล้องกับการประกอบอาชีพและวิถีชีวิตคนไทย

จากกรณีมีคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14-15/2560 บังคับใช้กฎหมายจราจรรถยนต์ ส่วนบุคคลและรถสาธารณะ รวมทั้งการห้ามนั่งท้ายรถกระบะและห้ามนั่งภายในแค็บรถ กระบะ ซึ่งเริ่มบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศเกี่ยวกับการห้ามนั่งท้ายรถกระบะและห้ามนั่งแค็บ ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกัน โดยผ่อนผันให้ไปจนสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์จากนั้นจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้ง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 18 เม.ย. นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากรณี พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 บังคับห้ามไม่ให้มีการนั่งโดยสารบริเวณกระบะท้ายและแค็บรถกระบะว่า รัฐบาลต้องการให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปตามวิถีการดำรงชีวิตของประชาชน ไม่ให้มีอุปสรรค แต่ในระยะยาวจะต้องตั้งเป้าหมายเรื่องความปลอดภัย ซึ่งจะต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชน โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จะมีการหารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต่อไป เพราะทั้ง 2 หน่วยงานดูแลกฎหมายที่มีความคาบเกี่ยวกันคือพ.ร.บ.รถยนต์ 2522 ของ ขบ. ซึ่งจะเน้นการกำกับดูแลรถให้เกิดความปลอดภัย ส่วน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ของสตช. จะเน้นการใช้รถให้เกิดความปลอดภัย เพราะพบว่ามีการนำรถไปใช้แล้วทำให้เกิดความ ไม่ปลอดภัย

ด้านนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมาได้เข้าพบกับนายพิชิต รมช.คมนาคม เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 บังคับห้ามไม่ให้มีการนั่งโดยสารบริเวณกระบะท้ายและแค็บรถกระบะ โดยได้หารือเกี่ยวกับกฎหมายที่จะนำมาแก้ปัญหา ซึ่งรมช.คมนาคมแจ้งว่า ขณะนี้ผู้บริหารระดับนโยบายในรัฐบาลทุกหน่วยงาน มีความเห็นตรงกันแล้วว่ามีความจำเป็นจะต้องผ่อนผันและผ่อนคลายกฎหมายจราจร เพื่อให้มีการใช้รถให้สอดคล้องกับการประกอบอาชีพและวิถีชีวิตของคนไทย เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมจะเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายจราจรออกข้อบังคับผ่อนผันเรื่องการบรรทุก ซึ่งตามกฎหมายให้อำนาจพนักงานจราจรสามารถออกข้อบังคับและประกาศบังคับใช้ได้ทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุดมีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้มีหนังสือเรื่อง หลักเกณฑ์รองรับการใช้รถกระบะบรรทุกโดยสาร ตามพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เพิ่มเติม ถึงอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำแนวทางบังคับใช้เข็มขัดนิรภัย ทุกที่นั่งตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2560 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2560 มาปฏิบัติและประชาสัมพันธ์ แต่ได้รับคำร้องเรียนจากผู้ใช้รถยนต์กระบะบรรทุกส่วนบุคคลจำนวนมาก ว่าไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 ที่ห้ามมิให้บรรทุกผู้โดยสารในช่องแค็บหรือกระบะท้ายรถยนต์ได้ ด้วยความจำเป็นและข้อขัดข้องในการจดทะเบียนให้ถูกต้องหลายประการ

กรณีนี้ตำรวจได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรพิจารณาออกหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีความปลอดภัยในระดับหนึ่งให้กับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์กระบะบรรทุก เป็นรถยนต์โดยสารบ้างเป็นบางโอกาสโดยมิต้องไปจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงลักษณะรถ เป็นรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารส่วนบุคคลเกิน 7 คน ตามกฎหมายดังนี้

1.ที่แค็บด้านหลังคนขับและผู้โดยสาร ตอนหน้า เฉพาะรุ่นที่มีความกว้างเพียงพอ เห็นสมควรให้อนุญาตติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด หรือ 3 จุด แล้วใช้เป็นที่โดยสารได้ 2.สำหรับกระบะบรรทุก ตอนหลังรถหากมีความจำเป็นจะต้องบรรทุกผู้โดยสารระหว่างการเดินทาง ให้กระทำได้โดยจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ที่ให้บรรทุกได้ไม่เกิน 6 คนและพิจารณากำหนดจุดติดตั้งราวจับยึดหรือติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเท่าที่ทำได้ 3.กรณีใช้บรรทุกผู้โดยสารตามข้อ 2.จะต้องจำกัดความเร็วให้อยู่ในระดับปลอดภัยมากกว่าปกติ เห็นควรให้ใช้ความเร็วไม่เกินความเร็วในเขตเทศบาล (80 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุดวันนี้ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประชุมเพื่อหาทางออกปัญหาข้อกำหนดห้ามนั่งแค็บและท้ายกระบะ แต่การหารือยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงมาตรการต่างๆ ที่จะออกมา อาทิ การจำกัดจำนวนคนนั่งกระบะ การจำกัดความเร็วของรถกรณีที่มีคนนั่งกระบะ การเสนอติดตั้งเข็มขัดนิรภัยภายในแค็บ คาดว่าต้องนัดประชุมร่วมกันอีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน