พท.-ปชป.จี้ปรับ นโยบายแก้ศก. ป้อมลาอีก 14 วัน อลเวงหมุดหาย ไร้กล้องวงจรปิด ถอดออกไป 11 ตัวกทม.อ้างเหตุปรับปรุงสัญญาณไฟจราจร กลุ่ม ปชต.ใหม่แจ้งจับลักวัตถุโบราณ ขณะที่ตร.-ทหารคุมเข้มจุดติดตั้งหมุดใหม่ คสช.อ้างเดินหน้าปรองดอง ห้ามจุดประเด็นทวงหมุดคณะราษฎร ฮึ่ม กม.จัดการ ทหารขวางมูลนิธิสืบฯ จัดถกปมให้เช่าที่ดิน 99 ปี เพื่อไทย-ปชป.จี้ปรับนโยบายเศรษฐกิจ ชี้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

บิ๊กตู่ออกกำลัง-เต้นแอโรบิก

เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลออกกำลังกายประจำสัปดาห์ โดยร่วมเต้นแอโรบิกเป็นเวลา 30 นาที หลังออกกำลังกายได้ทักทายกับข้าราชการและ เจ้าหน้าที่ รวมทั้งร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะอวยพรและสวัสดีปีใหม่กับทุกคนและขอให้ทุกคนมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ไทยที่ผ่านมา และปฏิเสธให้สัมภาษณ์ใดๆ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ว่า “สื่อมีเรื่องอะไร บอกมาก่อน ไม่มีเรื่องใหม่ ไม่ตอบ และเดี๋ยวผมจะหายไป 14 วัน”

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการขอตัวนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ผู้ต้องหาตามหมายจับผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จาก สปป.ลาว มาดำเนินคดีในไทย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ส่งหนังสือถึงหัวหน้ากรมใหญ่สันติบาล สปป.ลาว เพื่อขอตัวโกตี๋ไปแล้ว แต่ทางการลาวยังไม่ตอบกลับไทย

วิษณุแจงสนช.-พรบ.ยุทธศาสตร์

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) 30 กว่าคนเข้าหารือเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า สปท.มาแจ้งให้ทราบว่าเขากำลังติดตามกฎหมายในส่วนที่เขาสนใจ ได้แก่ กฎหมายผังเมือง กฎหมายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ระบบดิจิตอลในทางราชการ และเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงานของหลายกระทรวงไปตั้งตามต่างจังหวัด ซึ่งไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของผู้ว่าฯ ทำให้การประสานงานในจังหวัดยังบกพร่องอยู่ จึงจะหาแนวทางแก้ปัญหา รวมทั้งเรื่องมาตรฐานคุณธรรมและความประพฤติของข้าราชการ โดยสปท.เสนอให้บางเรื่องออกเป็นระเบียบ กฎหมาย โดยใช้มติครม. ซึ่งทุกเรื่องที่สมาชิกสปท.เสนอมาจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ในวันที่ 21 เม.ย.นี้

นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ในวันที่ 20 เม.ย. ตนจะเป็นผู้ชี้แจงตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ส่วนการตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น ครม.รอดูว่าจะให้สัดส่วนกี่คน และจะดูว่าในสัดส่วนของสนช.จะตั้งใครเป็นกมธ.บ้าง หากมีตกหล่นอาจเอามาใส่ในบัญชีของครม. ส่วนข้อกังวลในร่างพ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้มีผบ.เหล่าทัพมาเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาตินั้น เราถือว่าตำแหน่งเหล่านี้เป็นตำแหน่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ที่ให้เป็นส.ว.แต่งตั้งโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีความหมาย จึงให้มานั่งเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดูมิติของความมั่นคง

ป้องศรีวราห์ปมห้ามแจ้งคดีหมุด

เมื่อถามถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ เข้าแจ้งความที่สน.ดุสิต ให้ติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีหลังหมุดคณะราษฎรสูญหาย นายวิษณุกล่าวว่า ได้หรือไม่ได้ก็ไปแจ้งความแล้ว ตำรวจก็รับแจ้งความแล้ว เรื่องแบบนี้ตั้งเป็นเรื่องได้หลายเรื่อง แต่เมื่อเลือกเอาทางนั้นแล้วก็เป็นทางหนึ่ง

เมื่อถามว่าพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหม ณกุล รองผบ.ตร.ระบุหากไม่ใช่ผู้เสียหายก็ไม่สามารถแจ้งความได้ นายวิษณุกล่าวว่า เขาไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงถามว่าเป็นผู้เสียหายหรือไม่ เพราะตำรวจต้องรู้ว่ามาแจ้งในฐานะผู้เสียหายหรือพลเมืองดี ถึงมีคำสองคำในกฎหมายคือคำว่าร้องทุกข์กับคำว่ากล่าวโทษ ถ้าร้องทุกข์คือเป็นผู้เสียหาย แต่ถ้ากล่าวโทษแปลว่าไม่รู้ว่าใคร อย่างนี้ทำได้ถือเป็นพลเมืองดี

คสช.ห้ามจุดประเด็นทวงหมุด

พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนยังคงเคลื่อนไหวทวงคืนหมุดคณะราษฎรว่า คสช.ขอความร่วมมือและสร้างความเข้าใจ คิดว่าเป็นแนวทางดีที่สุด ทุกคนทุกฝ่ายในฐานะที่เป็นคนไทย พล.อ. ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ที่ดูแลด้านความมั่นคง รวมถึงผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดองที่กำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี โดยพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรอง ดอง(คณะอนุกรรมการชุดที่ 3) กำลังดำเนินการจัดทำร่างสัญญาประชาคมอยู่ จึงควรสร้างความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองเป็นหลักมากกว่าจะมาจุดประเด็นเรื่องทวงคืนหมุดคณะราษฎร

พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า สำหรับมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่ออกมาเคลื่อนไหว ขณะนี้ คสช. รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐที่ถือกฎหมายมีขั้นตอนมาตรการต่างๆ อยู่แล้ว เริ่มจากขอความร่วมมือ ชี้แจงทำความเข้าใจ การพบปะพูดคุยและพยายามจะไม่ใช้ข้อกฎหมาย บางเรื่องสามารถคลี่คลายได้ด้วยการพูดคุย คสช.พยายามไม่ใช้การแก้ปัญหาด้วยหลักนิติศาสตร์ทั้งหมด บางเรื่องเป็นปัญหาของ คนไทยด้วยกัน เป็นเรื่องภายในประเทศของ เรา ซึ่ง คสช.จะพยายามทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายให้ดีขึ้น

ขอความร่วมมืออย่าเคลื่อนไหว

เมื่อถามว่าคสช.ขอความร่วมมือกับนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญอย่างไร พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน การพูดจาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิต นักศึกษา และอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียกร้องขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น คสช.ขอความร่วมมือว่าบรรยากาศของบ้านเมืองตอนนี้กำลังก้าวหน้า

ขณะนี้มีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว อะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อยก็ต้องขอความร่วมมือ ความร่วมแรง ร่วมใจ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง

เมื่อถามว่าจะเรียกนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยที่ยังเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาพูดคุยในค่ายทหารอีกหรือไม่ พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มี คงเป็นเพียงข่าวลือ กระแสข่าวเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ตอนนี้ คสช.ขอความร่วมมือโดยเฉพาะสื่อมวลชน

ส่งตร.-ทหารคุมเข้มหมุดใหม่

ที่บริเวณลานพระราชวังดุสิต ลานพระ บรมรูปทรงม้า มีกำลังตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 มาดูแลความสงบเรียบร้อย โดยที่บริเวณหัวถนนอู่ทอง ด้านสวนสัตว์ดุสิต วางกำลังตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็ว (จยย.) ไว้ 10 นาย ส่วนบริเวณลานพระบรมรูป มีกำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชน 1 กองร้อย พร้อมกำลังตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (รถยนต์) 6 คัน นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่เทศกิจของ กทม.มาตั้งโต๊ะ ดูแลความสะอาดด้วย 2 ตัว 4 นาย ต่อมาเวลา 09.30 น. มีกำลังทหารจากกรมสารวัตรทหารบก มทบ. 11 นำสุนัขพิสูจน์กลิ่นมาตรวจรอบพื้นที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวันนี้ไม่มี ผู้เรียกร้องหรือการชุมนุมใดๆ ในบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และที่ตั้งหมุดคณะราษฎร มีเพียงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ทัวร์พามาดูพระราชวัง ที่ลงมาถ่ายรูปพระที่นั่งอนันตสมาคมก่อนเข้าชมภายใน

ปชต.ใหม่แจ้งลักวัตถุโบราณ

ที่สน.ดุสิต นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มประชาธิป ไตยใหม่ เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชวะฤทธิ์ จันทร์เกิ้น รองสว.สอบสวน สน.ดุสิต เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีหมุดคณะราษฎรสูญหายไปจากตำแหน่งติดตั้งเดิม โดยมี พล.ต.ต. วัชรพงศ์ ดำรงศรี ผบก.น.1 พล.ต.ต.อิทธิพล อัฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.นพรัตน์ สินมา ผกก.4 บก.สส.บช.น. ร่วมสังเกตการณ์ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ภายหลังใช้เวลาแจ้งความ นายอภิสิทธิ์แถลงว่าด้วยปรากฏตามข่าวว่ามีผู้ไม่หวังดี ได้นำหมุดคณะราษฎรที่ฝั่งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าออกไปในช่วงวันที่ 2-8 เม.ย. และมีการนำหมุดใหม่ที่ทำเลียนแบบด้วยถ้อยคำใหม่มาติดตั้งแทนนั้น ตนขอเข้าแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ด้วยข้อหากล่าวโทษ

1.การกระทำความผิดฐานเบียดบังเอาโบราณวัตถุเป็นของตน ด้วยหมุดของคณะราษฎรถือเป็น “โบราณวัตถุ” ตามมาตรา 4 ใน พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ หมายความว่าสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของโบราณไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือที่เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของโบราณสถาน ซากมนุษย์หรือซากสัตว์ ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสังหาริม ทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี

ชี้ลักหมุดคณะราษฎรผิดอาญา

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ผู้ที่ลักไปจึงมีความผิดตามมาตรา 31 ที่ระบุว่า “ผู้ใดเก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ซ่อนหรือฝังหรือทอดทิ้งโดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้และเบียดบังเอาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุนั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

2.การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่ใช้ หรือมีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ด้วยหมุดของคณะราษฎรอันเป็นหลักฐานทางประวัติ ศาสตร์ของการอภิวัฒน์สยาม เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ หรือมีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 335(10) ประมวลกฎหมายอาญา

“ความผิดทั้งสองเป็นอาญาแผ่นดิน อีกทั้งเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจและได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้าง จึงขอแจ้งความกล่าวโทษ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยด่วน และให้นำหมุดของปลอมมารักษาไว้ เพื่อเป็นของกลางประกอบการดำเนินคดีต่อไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เผยสุนทรพจน์พระยาพหลฯ

จากนั้น น.ส.ณัฏฐากล่าวคำแถลงการณ์เป็นข้อความสุนทรพจน์พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นและเป็นหัวหน้าคณะราษฎร ที่กล่าวในพิธีฝังหมุด โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “เพื่อเป็นเครื่องป้องกันการหลงลืมและเป็นอนุสรณ์สืบต่อไปภายภาคหน้า ข้าพเจ้าได้ปรารภกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการจัดที่ให้มีหมุดที่ระลึก ฉะนั้นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทำขึ้น หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญนี้โดยโลหะสัมฤทธิ์ และได้ประดิษฐานไว้ ณ จุดที่ข้าพเจ้าผู้ได้รับแต่งตั้งแลมอบหมายจากพวกพี่น้องผู้ร่วมก่อการณ์ทั้งหลายให้เป็นผู้นำ และได้ยืนกล่าวอิสระเสรี

ฉะนั้น หมุดที่จะวางลงมา ณ ที่นี้จึงเรียกว่า “หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” ในมงคลสมัยซึ่งเป็นปีที่ 5 แห่งการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรนี้ นับเป็นมงคลฤกษ์ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสวางหมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญที่นี้ ขอให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม จงสถิตย์เสถียรอยู่คู่กับประเทศชาติชั่วกัลปาวสานเทอญ”

ทั้งนี้ มีเพื่อนร่วมกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ มาร่วมให้กำลังใจ อาทิ นายธัชพงษ์ แกดำ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ก่อนที่นายสิรวิชญ์ จะเดินทางไปศาลทหารตามนัดหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสน.ดุสิต อำนวยความสะดวกนำรถจยย.ไปส่ง หลังแจ้งความเสร็จพ.ต.อ.อรรถวิทย์ ได้พาแกนนำและเพื่อนๆ ขึ้นรถยนต์ตู้ของ สน.ดุสิต ไปยังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อเขียนคำร้องขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดรอบๆหมุดคณะราษฎร

รุดขอดูวงจรปิดของกทม.

ที่ศาลาว่าการ กทม. นายอภิสิทธิ์ และน.ส.ณัฏฐา ได้มายื่นหนังสือขอความร่วมมือจากกทม. เพื่อขอดูภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด โดยรอบบริเวณพระบรมรูปทรงม้า ลานพระราชวังดุสิต ตั้งแต่วันที่ 1-9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายยุทธพันธุ์ มีชัย เลขานุการผู้ว่าฯ กทม. รับมอบหนังสือ ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย ผบก.น. 6 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่เทศกิจ เข้มร่วมสังเกตการณ์ ดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเอกสารใบคำร้องขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้กรอกตามขั้นตอน

นายยุทธพันธุ์แถลงว่า กทม.ไม่ขัดข้องที่จะอำนวยการเรื่องดังกล่าว แต่ต้องทำตามระเบียบ กฎเกณฑ์และกติกา แต่เอกสารที่นายอภิสิทธิ์ นำมายังขาดบันทึกแจ้งความซึ่งเป็นเอกสารสำคัญประกอบการพิจารณา จึงต้องนำมามอบให้กทม.อีกครั้ง ยืนยันว่า ผู้ว่าฯกทม.จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ตามขั้นตอน ไม่แตกต่างจากประชาชนคนอื่น ส่วนรายละเอียดการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ให้สอบถามกับผอ.สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.)

อึ้งไร้กล้อง11ตัวรอบ”หมุด”

ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอบคุณกทม. ที่อำนวยความสะดวกอย่างดี แต่พบปัญหากล้องวงจรปิดที่ขอดูภาพ 11 ตัวในบริเวณ ดังกล่าว กทม.แจ้งว่าถูกนำออกไปทั้งหมด เนื่องจากมีการปรับปรุงสัญญาณไฟจราจร ซึ่งกล้องจะผูกติดกับสัญญาณไฟจราจร ทำให้กล้องไม่สามารถใช้งานได้ ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น จึงประสานขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงในจุดอื่นๆ บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ลานพระราชวังดุสิต เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการตามหาหมุดคณะราษฎรที่หายไป เชื่อว่าหมุดคณะราษฎรหายไปในช่วงวันที่ 2-8 เม.ย.ที่ผ่านมา

น.ส.ณัฏฐากล่าวว่า อยากฝากสื่อติดตามการนำกล้องวงจรปิดทั้ง 11 ตัว ออกจากพื้นที่ดังกล่าว ไม่ใช่อำนาจของกทม. แต่เป็นงานจราจร จึงต้องสอบถามว่าใครเป็นผู้ตัดสินใจให้เอาออกไปในช่วงดังกล่าว แม้จะไม่มีกล้องวงจรปิดแต่ควรมีมาตรการรองรับ เพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยเพราะพื้นที่ ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษ ส่วนตัวรู้สึกตกใจมาก แต่ไม่ได้คาดหวังว่าการขอภาพกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในจุดอื่น จะใช้ประกอบเป็นหลักฐานได้ อย่างไรก็ตามการไม่มีกล้องเท่ากับขาดหลักฐาน แต่เชื่อว่าบริเวณดังกล่าว มีทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย จะเป็นพยานบุคคลได้อย่างแน่นอน จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายซื่อตรงในหน้าที่และวิชาชีพ

ทหารห้ามถกปมให้เช่าที่ดิน 99 ปี

วันเดียวกันนี้ นายภานุเดช เกิดมะลิ เลขามูลนิธิสืบ นาคะเสถียร กล่าวว่า ช่วงเช้าวันนี้ได้มีฝ่ายปกครอง ปลัดอำเภอ ทหาร ตำรวจ เข้ามาพูดคุยให้ทางมูลนิธิสืบฯ งดกิจกรรมเสวนา “วิพากษ์การให้เช่าที่ดิน 99 ปี ผลประโยชน์ของไทย หรือผลประโยชน์ของใคร?” ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ ที่มูลนิธิสืบฯ อ.เมือง จ.นนทบุรี โดยเชิญนักวิชาการมาร่วมพูดคุย ได้แก่ นายเดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายสมนึก จงมีวศิน นักวิชาการด้านชุมชน น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ และน.ส.พรพนา ก๋วยเจริญ กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน

นายภานุเดชกล่าวต่อว่า ทหารให้เหตุผลว่าการเช่าที่ดิน 99 ปีตามนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นเพียงการร่างพ.ร.บ.เท่านั้น ยังไม่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติและยังไม่มีการประกาศใช้ อาจมีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่อยากให้เราวิตกกังวลไปก่อน

สงสัยโยงปมหมุดหาย

“แต่เราไม่แน่ใจว่าทหารไปโยงกับหมุดคณะราษฎรหรือไม่ เพราะมีนักวิชาการบางคนโพสต์เฟชบุ๊กเกี่ยวกับหมุดคณะราษฎร จึงไม่อยากให้ผู้ที่เห็นต่างกับรัฐบาลจัดเสวนานี้ขึ้น อีกทั้งยังให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันการจัดเสวนาครั้งนี้อีกด้วย ทำให้มูลนิธิสืบฯ ต้องเลื่อนการเสนวนาไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด” นายภานุเดชกล่าว

เลขาฯมูลนิธิสืบฯ กล่าวต่อว่า สิ่งที่พวกเราตั้งใจจัดเสวนาขึ้น เพื่อให้สังคมทราบถึงสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่นั้นว่ามีผลดีผลเสียอย่างไร ไม่อยากให้ปิดหูปิดตาประชาชน อีกทั้งเป็นข้อกังวลเนื่องจากในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในบางพื้นที่อยู่ในแนวเขตป่า เช่น ป่าสงวนที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า ชุมชน ความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ หากเกิดปล่อยให้เช่าที่ดิน 99 ปี จะเกิดผลอย่างไรบ้าง จึงเชิญนักวิชาการมาพูดคุย การที่ทหารชี้แจงว่าไม่อยากให้กังวลไปก่อนนั้น พวกเราไม่อยากต้องมาพูดคุยในช่วงที่พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านแล้ว หรือประกาศใช้แล้ว จึงค่อยมาถกเถียงว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

วัฒนาเย้ยทวงสมบัติชาติถูกจับ

ด้านนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กว่า ขอแสดงความยินดีกับไผ่ ดาวดิน หรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2017 จากมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เนื่องจากผลงานการต่อสู้กับเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยได้รับเชิญให้ไปรับรางวัลที่เกาหลีในวันที่ 18 พ.ค. แต่เสียดายที่ไผ่ถูกศาลเพิกถอนสัญญาประกันตัว ซึ่งคงไม่ต่างจากที่นายกฯ สั่งให้เจ้าหน้าที่ล่าตัวคนแต่งโป๊เต้นเปลือยอกตอนสงกรานต์เพราะสังคมเสียหาย แต่ขอให้ยุติการโต้เถียงเรื่องหมุดคณะราษฎรที่คนทั้งประเทศสนใจ หรือตำรวจบ่ายเบี่ยงการดำเนินคดีกับคนขโมยหมุด แต่ขู่จะดำเนินคดีกับประชาชนที่ไปติดตามเอาสมบัติของชาติกลับคืน หรือการที่ไทยมีรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้แล้ว แต่ประชาชนที่ไปยื่นหนังสือขอให้ติดตามหมุดกลับถูกทหารควบคุมตัว

“ล่าสุดบ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่ คสช. ยังอนุมัติสองขั้นให้พรรคพวกโดยไม่สนใจความรู้สึกประชาชน และยังเป็นเครื่องยืนยันว่ารัฐมีอำนาจมากเกินจนประชาชนไม่เหลือสิทธิและเสรีภาพ การทวงคืนอำนาจรัฐเพื่อขยายอำนาจให้ประชาชนจึงเป็นภารกิจที่ต้องรีบดำเนินการ” นายวัฒนา ระบุ

กกต.จัดถกปฏิรูปพรรค

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก หลังจากนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ลงนามแต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 มี.ค. โดยมีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ และมีตัวแทนพรรคร่วมเป็นกรรมการ ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนิกร จำนง กมธ.การเมือง สปท. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการ ตัวแทนสภาทนายความ ร่วมเป็นกรรมการด้วย โดยธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต. ได้มอบพระพุทธชินราชที่หล่อจากเหล็กน้ำพี้ให้กับตัวแทนพรรคที่เข้าร่วมประชุม

นายเอนกแถลงหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองฯว่า ที่ประชุมได้พิจารณาบทบาทและการพัฒนาพรรค แม้จะยังไม่ชัดเจนในสาระของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง คณะกรรมการส่วนใหญ่ก็เห็นต่างในสาระสำคัญของร่างฉบับนี้ของ กรธ. ซึ่งประเด็นที่ยกขึ้นอภิปรายกัน อาทิ การเก็บเงินค่าสมาชิกพรรคคนละ 100 บาทต่อปี โดยเห็นว่าใช้กับวัฒนธรรมการเมืองไทยไม่ได้ เกรงจะทำให้คนในพรรคที่มีเงินเป็นผู้จ่ายเงินให้กับสมาชิก การปฏิรูปพรรคจะใช้แต่กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเข้าใจวัฒนธรรมของการเมืองไทย ไม่อยากให้มองว่าพรรคเป็นผู้ร้าย พรรคก็เหมือนกับองค์กรทั่วไป ที่มีทั้งคนดีและไม่ดี เราจะพัฒนาพรรคอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทั้งนี้จะพยายามรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อทำเป็นข้อเสนอแนะส่งให้กับกรธ.และสนช. โดยเร็วที่สุด แม้จะมีเวลาเพียงน้อยนิด ซึ่งคณะกรรมการจะประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 30 พ.ค.นี้

สนช.ยันกม.ลูกเสร็จตามกรอบ

ที่รัฐสภา นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมาธิ การ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.และร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองว่า สนช.จะประชุมตั้งกมธ.วิสามัญฯ ในวันที่ 21 เม.ย. กำหนดสัดส่วนตัวประธาน รองประธาน และตำแหน่งอื่นๆ เบื้องต้นส่วนใหญ่จะยกมาจากกมธ.ศึกษากฎหมายลูก ที่สนช.ตั้งขึ้นมาล่วงหน้า ไปรวมกับตัวแทนจาก ครม. กกต. และ สปท. รวมถึงสัดส่วนจากคนนอกด้วย เชื่อว่าการทำกฎหมายลูกในชั้นสนช.คงไม่ยืดเยื้อ น่าจะจบได้ภายในวันที่ 20-21 พ.ค. ที่เราจะไปสัมมนาที่จ.จันทบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสัดส่วน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรม นูญจะมีทั้งสิ้น 31 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากสนช. 25 คน บวกกับ ครม. กรธ. กกต. สปท.และคณะกรรมการกฤษฎีกาอีก 6 คน ส่วนสัดส่วนของคนนอกอื่นๆ ถ้ามีจะนับเป็นสัดส่วนของสนช. โดยกมธ.ชุดร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.ที่ไม่ใช่สมาชิกสนช.เบื้องต้น ประกอบด้วย นายปกรณ์ นิลประพันธุ์ เลขาธิการ กรธ. นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.ด้านการเมือง สปท. พล.ต.ท.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ เลขาธิการ ครม.

ส่วนกมธ.ชุดร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรค การเมือง ประกอบด้วย นายประพันธ์ นัยโกวิท กรธ. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง เลขานุการ กรธ. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก สปท. นาย สุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาฯ ครม.และตัวแทนกกต.

ปชป.จี้ปรับนโยบายเศรษฐกิจ

นายเกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ระบุว่าไม่จำเป็นต้องปรับครม.ด้านเศรษฐกิจว่า หากมองเศรษฐกิจภาพรวมอาจจะดูไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3 แต่ถ้าไปดูรายละเอียดลึกๆจะพบว่ามีปัญหาอยู่หลายเรื่อง อาทิ เกษตรกรในพื้นที่ชนบท ที่ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ส่วนการแก้ปัญหาให้ได้ผลนั้น ถ้าจำเป็นจะเปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนคน ก็ขอให้เปลี่ยนนโยบายให้มีความเหมาะสมด้วย เพราะปัญหาหลายๆ เรื่องในขณะนี้ นโยบายที่ใช้กันอยู่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ต้องใช้นโยบายอื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือด้วย

นายเกียรติกล่าวด้วยว่า สถานการณ์โลกตอนนี้ คิดว่าไม่ควรประมาทเพราะมีความล่อแหลมในหลายพื้นที่ทั้งในตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี ดังนั้นรัฐบาลควรทบทวนว่าจะเดินนโยบายอย่างไร เช่น เวลามีท่าทีว่าจะเกิดสงคราม สินค้าโภคภัณฑ์จะมีราคาสูงขึ้น อาหารราคาสูงขึ้น น้ำมันขึ้น ทองขึ้น คนเริ่มจะสะสมอาวุธมากขึ้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นก่อนที่รัฐบาลจะตอบคำถามเรื่องผลกระทบขอให้วิเคราะห์ในเรื่องปัจจัยเหล่านี้ให้ดีเสียก่อน อย่าตอบคำถามเป็นแพตเทิร์น เพราะกลัวว่าพูดอะไรออกไปแล้วคนจะตื่นตระหนก

ยรรยงชี้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสเรียกร้องให้ปรับครม.ด้านเศรษฐกิจว่า โดยสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ คงเป็นเรื่องยากที่จะเชื้อเชิญผู้ทรงคุณวุฒิในด้านดังกล่าวมาร่วมงานกับรัฐบาล ขณะที่ครม.ด้านเศรษฐกิจชุดปัจจุบันไม่ใช่นักบริหารทางเศรษฐกิจที่ใช้งานบุคคลได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เศรษฐกิจของไทย จึงน่าเป็นห่วงมาตลอดนับแต่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล

นายยรรยงกล่าวว่า การส่งออกของรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะถูกกีดกันจากสหภาพยุโรป (อียู) รวมทั้งสหรัฐ แสดงท่าทีชัดเจนว่าอาจกำหนดมาตรการตอบโต้ไทยที่ทำให้สหรัฐ เสียดุลการค้า อาจลดนำเข้าสินค้าของไทย ที่สำคัญ การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับฐานล่างมีปัญหาอย่างหนัก ภาครัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ทั้งหมดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ เน้นการขายแบบมีคุณภาพมากกว่าจำนวนหรือปริมาณ ส่วนการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงเพราะเป็นรูปแบบของการลงทุนทางอ้อม ซึ่งในระยะสั้นหรือในระยะที่ประชาชนคาดหวังคงไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน