บุกบ้านเชิญ-ก่อนปล่อย 3พรรคเซ็ง-มีชัยร้อนใจ รัฐบาลส่อยื้อปลดล็อก เชื่อเลือกตั้งพย.61ดีเลย์

ทหารบุกถึงบ้านเชิญ “มาร์ค พิทบูล”เข้าค่ายพูดคุย ผบ.มทบ.11ชี้เหตุใช้โพสต์คลิปยุยง ปลุกปั่นใช้คำผรุสวาทโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ หลังทำความเข้าใจส่งตัวกลับบ้านปลอดภัย เจ้าตัวยันไม่หยุดจ้อ แค่ลดคำด่าลง คสช.ระบุจับอาวุธสงครามช่วยสกัดคนไม่หวังดีเอาไปใช้ในทางไม่ถูก แจงปลดล็อกการเมืองต้องดู 3 ปัจจัย กฎหมาย-สถานการณ์บ้านเมือง-องค์ประกอบอื่น “มีชัย”ยอมรับร้อนใจยังไม่ปลดล็อก ปชป. -ชาติไทยพัฒนา-เพื่อไทยรุมยำ”บิ๊กป้อม”อาจปล่อยผีใกล้เลือกตั้ง ชี้หาข้ออ้างแค่เกมรักษาอำนาจ เอาเปรียบทางการเมือง คาดเลือกตั้งดีเลย์แน่ “โอ๊ค”ขอของขวัญวันเกิดให้ครอบครัว กลับมาอบอุ่น ยันไม่มีใครอยากยุ่งการเมืองอีก

คสช.ยันปท.สงบแม้พบอาวุธ

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวต่างๆ ภายหลังการพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจำนวน หลายรายการ ที่จ.ฉะเชิงเทรา เชื่อมโยงกับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง ว่า ในภาพรวมงานความมั่นคงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจะพบความเคลื่อนไหวหลายๆกลุ่มของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ เช่น สินค้าราคาพืชผลทางเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะ ยางพารา ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. สั่งการให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด

ส่วนการเคลื่อนไหวด้านอื่นๆ ทางคสช.ติดตามการเคลื่อนไหวในโซเชี่ยลมีเดีย เพราะยังมีการพูดพาดพิง โจมตีกันตลอด แต่เท่าที่ติดตามยังไม่พบว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง อันจะก่อ ให้เกิดความไม่เรียบร้อยในชาติบ้านเมือง ดังนั้น บรรยากาศภาพรวมของบ้านเมืองในช่วงนี้ ยังมีความเรียบร้อยอยู่ แม้ว่าจะมีการตรวจพบอาวุธสงคราม ในพื้นที่จ.ฉะเชิงเทราก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามขยายผล ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรจะชี้แจงให้ทราบ

สำหรับการตรวจค้นอาวุธสงครามดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่ยังมีอาวุธสงครามจำนวน มากหลงเหลือจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถติดตามได้แล้วก็สามารถระงับยับยั้งไม่ให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีเอาอาวุธสงครามดังกล่าวที่เป็นอันตรายกับพี่น้องประชาชน ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

แจงปลดล็อกต้องดู 3 ปัจจัย

พล.ต.ปิยพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มการเมือง เรียกร้องให้คสช.ปลดล็อกพรรคการเมืองว่า ตามความเป็นจริงของสถานการณ์ในช่วงนี้ ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าการดำเนินการในอำนาจหน้าที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และ กรอบโรดแม็ปอยู่แล้ว คิดว่าการที่นักการเมืองออกมาเรียกร้องเป็นบทบาทหน้าที่ของเขา ที่ต้องทำ เพื่อให้ประชาชนเห็น และติดตาม คสช.ก็เข้าใจในจุดนี้ แต่เรายังขอความร่วมมือ ทำความเข้าใจ พูดคุยกัน ซึ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยังเป็นเหมือนเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่า คสช.จะปลดล็อกให้พรรค การเมืองต้องพิจารณาด้วยปัจจัยอะไร พล.ต. ปิยพงศ์กล่าวว่า 1.กรอบกฎหมาย และระยะเวลาดำเนินการ 2.สถานการณ์บ้านเมืองที่จะเดินไปตามกรอบกฎหมายมีความสงบเรียบ ร้อย หรือไม่ และ3.องค์ประกอบอื่นๆ ก็อาจจะมีส่วนด้วย แต่ยังไม่ขออธิบายตรงนี้

“ขอยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่ และโรดแม็ปที่ประกาศไว้ แต่สถานการณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องนำมาประเมินด้วย ว่าถ้าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้งานอะไรที่สำคัญ งานเร่งด่วนก็ต้องทำ เพราะมีลำดับความสำคัญกำหนด ไว้” พล.ต.ปิยพงศ์กล่าว

“มีชัย”ย้ำร่างรธน.ไม่หมกเม็ด

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) จัดโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้แก่สื่อมวลชน มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. เปิดงานและบรรยายภาพรวมรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎกติกาของสังคม จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจในรายละเอียด โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในทุกเรื่อง เพื่อไม่ให้เข้าใจว่ากรธ.พยายามหมกเม็ดบางประเด็น

ปัญหาของประเทศไทยอย่างหนึ่งคือความเป็นระเบียบเรียบร้อย กรธ.คิดว่ามาจาก 2 สาเหตุ คือ 1.ประชาชนยังขาดวินัย และ 2.การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด เราจึงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษา ทั้งยังให้ความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจ ที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายหนึ่งปี ถ้าไม่สำเร็จการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจต้องยึดระบบอาวุโส

อย่างไรก็ตาม กรรมการท่านหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) กำลังเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าการขึ้นเงินเดือนให้ตำรวจถือว่าได้ทำงานปฏิรูปตำรวจเสร็จ ตนคิดว่าเขาเข้าใจผิด เพราะในรัฐธรรมนูญเขียนเป้าหมายไว้ชัดเจน โดยกรธ.กำลังเฝ้ามอง ว่าจะมีคนโต้แย้งว่าการปฏิรูปตำรวจไม่ใช่สิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หรือไม่ หากเกิดกรณีประชาชนออกมาโต้แย้งว่าการปฏิรูปที่ดำเนินการอยู่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งจะกลายเป็นปฏิรูปไม่เสร็จ ทางออกคือให้การแต่งตั้งเป็นไปตามระบบอาวุโสไปก่อน ซึ่งหน่วยงานที่จะเป็นผู้ชี้ขาดว่าการปฏิรูปเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ

ยอมรับร้อนใจยื้อปลดล็อก

นายมีชัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดให้พรรคการเมืองต้องอัพเดตสมาชิกพรรคการเมืองภายใน 90 วัน ที่จะครบในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ แต่ยังไม่มีการปลดล็อกกิจกรรมทางการเมืองว่า ตนร้อนใจไปกับพรรคการเมือง แต่ถ้ามีความจำเป็นสามารถแก้ไขกฎหมายได้ ไม่มีอะไรตายตัว ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคสช.จะทำอย่างไรคงต้องไปถามหัวหน้า คสช.

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปลดล็อกพรรคการเมือง จำเป็นต้องรอให้กฎหมายลูกออกมาทุกฉบับหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า กฎหมายลูกมีหลายฉบับ อะไรออกมาใช้บังคับแล้วสามารถปฏิบัติ ได้ไม่ต้องรอให้ครบทุกฉบับ อะไรที่ทำได้ ก็สามารถทำได้เลย

ระบุคสช.มีอำนาจ-ไม่ผิดกม.

ต่อข้อถามว่ากรณี คสช.ยังไม่ปลดล็อก จะกระทบกับพรรคการเมืองที่ไม่ได้ทำตามกฎหมายลูกหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า มันคน ละส่วนกัน เพราะอำนาจมาคนละทางกัน ที่จริง แล้ววันนี้พรรคการเมืองสามารถทำอะไรได้อยู่ เช่น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมาชิก ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าการที่คสช.ยังไม่ปลดล็อกทำให้ขัดกับกฎหมายลูกที่บังคับใช้แล้วนั้น คงต้องไปตามคสช. ผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าคสช.กำลังทำผิดกฎหมายอยู่หรือไม่ นาย มีชัย ตอบว่า ไม่ผิด เพราะคสช.มีอำนาจของเขาอีกทางหนึ่ง

เมื่อถามถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีข้อเห็นต่างเกี่ยวกับการเลือกไขว้ส.ว. ไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้ นายมีชัย กล่าวว่า หากสนช.คิดระบบอะไรใหม่ได้ ก็ให้ บอกมาว่าจะใช้วิธีอะไร ที่สามารถป้องกันได้จริง ซึ่งอาจจะมีวิธีการที่ดีกว่าที่เราเสนอไปก็ได้

ปชป.ซัด”บิ๊กป้อม”หาข้ออ้าง

ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บอกอาจปลดล็อกพรรคการเมือง ในช่วงใกล้เลือกตั้ง เพราะด้านการข่าวความมั่นคง ยังมีกลุ่มคนเคลื่อนไหวอยู่ว่า การพบอาวุธล่าสุด จะโยงกับกลุ่มโกตี๋ อย่างที่คสช.บอกหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่ตรวจสอบ ให้ชัดว่า เป็นการกระทำของใคร เป็นคนร้าย หรือคนอื่นที่แอบอ้างว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ ทุกอย่างต้องทำให้กระจ่างชัด

คสช.อยู่ในอำนาจมา 3 ปี มีทั้งอำนาจตามกฎหมาย อาวุธ และกำลังพล ไม่ควรเอาเหตุดังกล่าวมาเป็นเหตุการณ์เพื่ออ้างเลื่อนการเลือกตั้ง การเปิดเผยผลการสืบสวนสอบสวน ที่มีเหตุและผล จึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าจะไปหาเหตุที่จะขยายเวลาการเลือกตั้ง ตอนที่มีประกาศว่าจะมีการเลือกตั้ง เห็นชัดว่าหุ้นขึ้นติดต่อกันหลายวัน หากจะประกาศเลื่อน เลือกตั้ง เกรงว่าจะซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้ทรุดกว่าเดิม คสช.มีเวลาอยู่อีกประมาณหนึ่ง น่าจะรีบแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย ดีกว่าเอาเรื่องราวดังกล่าวซึ่งยังไม่รู้ ว่าเป็นฝีมือใคร เพื่อมาอ้างเลื่อนการเลือกตั้ง เรื่องนี้สังคมจับตา ขอให้ระมัดระวัง

เตือนหวังอยู่ยาวจะเสียใจ

นายศุภชัย ศรีหล้า อดีตส.ส.อุบลราชธานี และอดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คสช.อยู่ในอำนาจมา 3 ปี กว่าๆ ยังไม่สามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อีกหรือ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธสงคราม หรือพวกเคลื่อน ไหวด้านความมั่นคง อย่ามาอ้างสถานการณ์เหล่านี้ แล้วไม่ยอมปลดล็อกเลย ทุกอย่าง มีสองด้านเสมอในตัวของมัน ยิ่งอ้าง ยิ่งเป็น กระจกสะท้อนการทำงานของคสช. รัฐบาลและผู้มีอำนาจ มันแปลว่า 1.ท่านไม่สามารถจัดการปัญหาเดิมๆได้ 2.อีกด้านหนึ่งคือ เป็นการพูดเพื่อหวังอยู่ในอำนาจต่อไปหรือเปล่า อย่าให้สังคมคลางแคลงใจเลย

“เมื่อคนคลางแคลงใจเมื่อไหร่ วันนั้น จะเป็นวันที่พล.อ.ประวิตร และผู้มีอำนาจ จะเสียใจ อยากพูดเตือนด้วยความจริงใจ และเป็นความจริงที่ต้องพูด อำนาจมีทุกอย่างในมือหมดเบ็ดเสร็จ แต่วันดีคืนดีก็บอกมีอาวุธสงคราม แสดงว่ามันสะท้อนความล้มเหลวในการทำงานตนเอง หรือสะท้อนการอยากอยู่ในอำนาจต่อ ช่วงหลังๆ ท่านรองนายกฯ พูดอะไร สังคมไม่สบายใจหลายเรื่องมากๆ แนะนำด้วยความหวังดีว่า ขอให้ทำงาน ดีกว่าพูด ถ้าพูดแล้ว เป็นผลลบ อย่าพูดดีกว่า” นายศุภชัยกล่าว

“เสี่ยตือ”คาดเลือกตั้งดีเลย์

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) กล่าวว่า การที่แต่ละพรรคการเมืองอยากให้มีการปลดล็อกทาง การเมืองคือการสนับสนุนให้รัฐบาลได้ทำตามกฎหมาย แต่วันนี้ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรม จริงอยู่ถึงแม้ว่าตัวเองจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มีมาตรา 44 อยู่ในมือ ที่บอกว่าดีเลย์ไปนานแค่ไหนก็สามารถชดเชยเวลานั้นโดยการใช้ มาตรา 44 ดำเนินการได้ แต่ถามว่าความสง่างามและความเหมาะสมกับสถาน การณ์ในตอนนี้มันจะคุ้มหรือไม่กับสิ่งที่ นายกฯจะทำอย่างนั้น แต่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง คิดว่าจะได้รับเสียงชื่นชมสนับสนุนจากพรรคการเมืองและจากคนทั่วไปด้วยว่านายกฯพร้อม และก็อยากเห็นการเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

“ตราบใดที่ยังไม่ประกาศปลดล็อกทาง การเมืองมันจะอึมครึมอยู่อย่างนี้ แต่ละคนยังไม่มีใครเชื่อมันเลยว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 นี้จริงหรือไม่ เพราะวันนี้คุณยังไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งที่กฎหมายเดินไปแล้ว รัฐธรรมนูญ ก็ประกาศใช้แล้วพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองก็เดินไปแล้ว จึงเป็นเหมือนสัญญาณที่ส่งออกมาว่าต้องดีเลย์แน่ การที่พูดว่าจะมีการเลือกตั้งแน่คงไม่เหมือนกับการปฏิบัติ ถ้าบอกว่าให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้แล้วก็จะเหมือนเป็นการลั่นระฆังสัญญาณให้รู้ว่าการเมืองเดินหน้าแล้ว แต่วันนี้ยังไม่มีอะไร บอกเลยว่าการเมืองเดินหน้าเพราะทุกพรรค ยังขยับไม่ได้” นายสมศักดิ์กล่าว

พบอาวุธไม่เกี่ยวกับการเมือง

นายสมศักดิ์กล่าวว่า การที่บอกว่ายังไม่ปลดล็อกทางการเมืองเพราะสถานการณ์ยังไม่สงบพบเจออาวุธนั้น ความจริงเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่น่าจะเป็นเรื่องของความมั่นคง ไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าพบอาวุธแล้ว บ้านเมืองยังไม่สงบทำให้การเมืองไม่สามารถเคลื่อนหน้าต่อไปได้ ไม่มีอะไรสัมพันธ์ กันเลย

ส่วนที่มีประกาศกกต. ออกมาหลายฉบับนั้น ประกาศก็ประกาศไปแต่พรรคการเมืองยังทำอะไรไม่ได้แล้วจะเกิดประโยชน์ได้อย่างไร ประชุมพรรคไม่ได้ กำหนดแนวนโยบายพรรค ใหม่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ ให้เป็นไป ตามพ.ร.ป.ก็ยังทำไม่ได้ พรรคไม่มีนโยบาย ไม่มีเจตนารมณ์ แล้วจะขับเคลื่อนไปได้อย่างไร

สำหรับกรณีที่สองพรรคการเมืองใหญ่ระบุ เป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่เอานายกฯคนนอกนั้น ถ้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยบอกว่าจะเอาคนนอกพรรคมาเป็นนายกฯโดยไม่ผลักดันคนในขึ้นมา ถามว่าประชาชนจะมีความรู้สึกอย่างไร จึงไม่มีพรรคไหนที่จะบอกอย่างนั้น ยกเว้นพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนนายกฯที่มาจากคนนอกเท่านั้น

พท.จวกเอาเปรียบทางการเมือง

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ประชาชนค่อนข้างประหลาดใจที่อ้างว่ามีการพบระเบิดและอาวุธมากมายกลางทุ่งนาในพื้นที่จ.ฉะเชิง เทรา แล้วจะไม่ปลดล็อกการเมือง ขอตั้งคำถาม ว่าการพบระเบิดดังกล่าวหรือเหตุไม่สงบอื่นๆ เป็นการประจานรัฐบาลว่าไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองไว้ได้หรือไม่ เป็นข้ออ้างในการไม่ปลดล็อกทางการเมืองหรือไม่

“รัฐบาล คสช.มีอำนาจเด็ดขาด มีกฎหมายพิเศษ กลัวอะไรถึงไม่กล้าปลดล็อกการเมือง การพบระเบิดและอาวุธมากมายแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เป็นข้ออ้างเพื่อดึงเวลา ยื้อปลดล็อกการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับพรรคพวกของตัวเองหรือไม่ เมื่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอกันแบบไม่บันยะ บันยัง ย่อมส่งผลถึงการปรองดองสมานฉันท์ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องอยู่บนพื้นฐาน ของความจริงใจและข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะถ้าปราศจากซึ่งความจริงใจและความเชื่อมั่นระหว่างกัน จะเอาน้องเกี่ยวก้อยไปซักอีกกี่ครั้ง ก็คงไม่ทำให้ความปรองดองสมานฉันท์เกิดขึ้น ได้จริง” นายอนุสรณ์ กล่าว

ชี้ทำลายความเชื่อมั่นประเทศ

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร ระบุว่าจะปลดล็อกการเมืองใกล้เลือกตั้งว่า เป็นความเห็นที่ทำลายความเชื่อมั่นประเทศอย่างร้ายแรง และรัฐบาลได้ทำเช่นนี้มาเป็น ระยะๆ ซึ่งมีข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.เมื่อ 28 ก.ย.2558 นายกฯไปให้คำมั่นกับเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น)ว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งในกลางปี 2560

2.รัฐบาลได้ออกพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 ต.ค.2560 และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพ.ร.ป.ดังกล่าว ได้ออกระเบียบ กกต.มารองรับจำนวน 8 ฉบับ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ธ.ค.2560 แต่รัฐบาลกลับไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่รัฐบาลเป็นผู้ออกเสียเอง โดยยังมีคำสั่ง คสช.ตามมาตรา44 กำกับ พ.ร.ป.พรรค การเมืองอยู่

เชื่อแค่เกมรักษาอำนาจ

3.กติกาต่างๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ล้วนไม่ เป็นประชาธิปไตย เอาเปรียบพรรคการเมืองต่างๆ อยู่ทุกประตูอยู่แล้ว เช่น ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม ส.ว.มาจากการสรรหาและให้มีอำนาจเลือกนายกฯ ได้ นายกฯมาจากคนนอกได้ เรียกได้ว่าคุมทั้งกติกา งบประมาณ และกำลังคน ยังจะผูกขา ผูกแขนไม่ให้ทำกิจกรรมตามกฎหมายเหมือนปิดประตูตีแมว

4.ประเทศไทยคงจะงามหน้า ขายหน้าชาวโลก ที่จะเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการจารึกไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่มีคำสั่ง คสช.ตามมาตรา44 กำกับอยู่ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเลือกตั้ง จนกว่าการจัดตั้ง รัฐบาลจะแล้วเสร็จ เรียกได้ว่าคุมทุกเม็ดจนกว่า ภารกิจกุมอำนาจจะแล้วเสร็จ

“ที่ยกตัวอย่างมาพอสังเขป ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลย เป็นเกมรักษาอำนาจ ต่อท่ออำนาจทั้งสิ้น ซึ่งทำลายความเชื่อมั่นประเทศอย่างร้ายแรง ประชาชนคงจะถึงบางอ้อ ว่า 3 ปีเศษที่ผ่านมา ทำไมรัฐบาลถึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องไม่ได้ เป็นเพราะประเทศไม่ได้รับความเชื่อมั่นนั่นเอง ทางแก้มีหนทางเดียว คือ ทำบ้านเมืองให้เป็นปกติ รีบคืนอำนาจ ให้ประชาชน 70 ล้านคนได้ตัดสินอนาคตตนเอง” นายชวลิต กล่าว

อังกฤษแจงข่าวลือให้พาสปอร์ตปู

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ เรื่องรัฐบาลอังกฤษได้ให้หนังสือเดินทางแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบคดีโครงการรับจำนำข้าวเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2560

ล่าสุด ผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” ได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เกี่ยวกับข่าวดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้ระบุว่า ไม่ขอให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่าเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข่าวดังกล่าว

“โอ๊ค”ขอของขวัญวันเกิด

ด้านนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพกราบคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มารดา พร้อมข้อความว่า เป็นธรรมเนียมที่ทุกปี ผมจะต้องกราบคุณพ่อคุณแม่ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครับ 10 กว่าปีที่ผ่านมา อาจไม่สามารถกราบคุณพ่อได้ตรงวัน แต่ผมก็จะต้องรีบไปกราบท่านทันที ที่มีโอกาส ได้เดินทาง

“10 ปีผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ผมและทุกคนในครอบครัว ยังยืนยันคำเดิมว่า เราเพียงแต่ต้องการชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นกลับคืนมา โดยที่ไม่มีคนหนึ่งคนใดในครอบครัว ต้องการ ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย..แม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นไปได้จริง จะเป็นของขวัญที่มี คุณค่ามากที่สุด สำหรับผมและครอบครัวครับ”

คสช.เชิญ”มาร์ค พิทบูล”เข้าค่าย

วันเดียวกัน เวลา 08.00 น. มาร์ค พิทบูล หรือ นายณัชพล สุพัฒนะ อายุ 50 ปี ได้โพสต์ข้อความ และคลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ทหาร นำโดยพล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่าย กฎหมายเฉพาะกิจ พร้อม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้เดินทางไปยังบ้านพักย่านมีนบุรี เพื่อเชิญตัวมาพูดคุย ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)

ต่อมาเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยัง สน.มีนบุรีเพื่อลงบันทึกประจำวัน ในการ เชิญตัวนายณัชพล เพื่อไปพูดคุย โดยมีรายละเอียดว่า วันที่ 2 ธ.ค.2560 เวลาประมาณ 08.30 น. คสช.นำโดย พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายเฉพาะกิจ ได้ใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ลงวันที่ 1 เม.ย.2558 เชิญตัว นายณัชพล สุพัฒนะ อายุ 50 ปี อยู่ที่ 43/302 ซ.นิมิตรใหม่ 20 แขวงทรายกองดิน เขตคลองสามวา กทม. เพื่อสอบถามข้อมูลและให้ถ้อยคำ

เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัย โดยมีหลักฐาน ตามสมควรว่า นายณัชพล ได้กระทำความผิดตามความมั่นคง ของรัฐภายในราชอาณาจักร จึงได้เชิญตัวไปที่มทบ.11 แขวงนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้บังคับขู่เข็ญ หรือใช้กำลังประทุษร้ายด้วยกำลังใดๆ ซึ่งนายณัชพล ได้ให้ความร่วมมือด้วยดี จึงได้เดินทางมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นได้เดินทางต่อไปยังมทบ.11

ผบ.มทบ.11 แจงเหตุยุยง-ปลุกปั่น

พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมทบ.11 และทีมโฆษกคสช. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคงของคสช. ทั้งตำรวจ ทหารจากกอง กำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ในพื้นที่ และทหารจากมทบ.11 ได้เดินทางไป บ้านพักของนายมาร์ค พิทบูลจริง เพื่อเชิญตัวมาพูดคุยที่มทบ.11 ในเวลา 11.00 น.เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามดูการใช้โซเชี่ยลมีเดียของนายมาร์ค พิทบูล มาตลอด แต่ในระยะหลังมีการใช้ถ้อยคำหยาบคายโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ใช้คำและประโยคในลักษณะผรุสวาทเป็นจำนวนมากก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อย เกรงว่า อาจจะเกิดความเข้าใจผิดได้ การใช้โซเชี่ยลมีเดียปลุกระดมนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควร

เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเชิญตัวมาพูดคุยทำความเข้าใจและขอความร่วมมือว่าในช่วงนี้ไม่ควรใช้ถ้อยคำในลักษณะโจมตีกล่าวหาให้ร้ายก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในลักษณะยุยง ปลุกปั่น ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ควบคุมตัว แต่เป็นการเชิญมาพูดคุยเท่านั้น หากมีความเข้าใจกันดีแล้วก็จะให้กลับบ้านได้ในช่วงเย็น เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินคดีความทางกฎหมาย หรือไม่นั้น พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า เป็นการ พูดคุยทำความเข้าใจของฝ่ายความมั่นคง ส่วนเรื่องการดำเนินคดีเป็นเรื่องของผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากกว่า

ขอร้องเลิกป่วน-ก่อนส่งกลับบ้าน

เวลา 16.30 น. พล.ต.ปิยพงศ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้พูดคุยกับนายณัชพลแล้ว และเวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่ไปพานายณัชพลไปส่งที่บ้านพักเรียบร้อย โดยได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน และนายณัชพล ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเจ้าหน้าที่ได้ พูดคุยในเชิงขอร้องว่าที่ผ่านมา นายณัชพลได้แสดงความคิดเห็นในโซเชี่ยลมีเดียในลักษณะก้าวร้าว หยาบคายและมีความรุนแรงจึงขอความ ร่วมมือให้หยุดดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้มีการลงนามข้อตกลงอะไรร่วมกันแต่อย่างใด เป็นเพียงการพูดคุยขอความร่วมมือ ส่วนการดำเนินคดีความนั้นเป็นเรื่องของบุคคลหรือองค์กรที่ได้รับการพาดพิงจนเกิดความเสียหาย เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมายเอง

เจ้าตัวลั่นไม่หยุดจ้อ-แค่ลดคำด่า

ต่อมา มาร์ค พิทบูล โพสต์คลิปที่มีเจ้าหน้าที่ มาส่งถึงบ้าน พร้อมระบุว่า ผมกลับถึงบ้านเรียบร้อยด้วยความปลอดภัย ไม่มีอะไรผมปลอดภัย เป็นธรรมเนียมทหาร ตำรวจ มาส่งถึงที่ให้ปลอดภัย ก็ดูแลดี เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับคลิปที่มีการแชร์ แล้วมีการไปพาดหัวข่าวรุนแรงมาก ก็ไปชี้แจงทีละคลิปว่าคลิปนี้มีเจตนาอะไร สื่ออะไร ซึ่งไม่มีอะไร ทุกคนที่เป็นห่วงจะได้ไม่ต้องกังวล

เวลา 17.00 น. มาร์ค พิทบูล ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเช้าที่ผ่านมาได้มีทหารมาที่หน้าบ้าน โดยภรรยาของตนเป็นผู้พบเห็นจึงได้ขึ้นมาเรียกตนที่กำลังนอนหลับอยู่บนห้องนอนให้ลง มาดู เมื่อพบกับเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการสอบถามว่ามาทำอะไร จะเเจ้งข้อหาอะไร เจ้าหน้าที่จึงได้ ตอบกลับมาว่าจะเชิญตัวไปพูดคุยกันที่ มทบ.11 ตนจึงขออนุญาตขึ้นไปอาบน้ำก่อน จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้พาไปลงบันทึกประจำวันที่ สน. มีนบุรี เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ โดยเจ้าหน้าที่ ได้มีการดูแลเป็นอย่างดี

เมื่อมาถึงที่ มทบ.11 ได้มีการตรวจสุขภาพ ทำประวัติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พูดคุยในเชิงขอร้องว่าที่ผ่านมาตนได้แสดงความคิดเห็นในโซเชี่ยลมีในลักษณะก้าวร้าว ใช้คำพูดที่รุนแรง เลยต้องเชิญมาพูดคุยให้เข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน บรรยากาศโดยทั่วไปเป็นไปด้วยดีไม่ได้มีการแจ้งข้อหา หรือพูดจาข่มขู่ทำให้หนักใจ แต่ตนขอยืนยันว่าสิ่งที่พูดนั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมก็ควรพูด หลังจากนี้ยังคงยืนยันว่า จะพูด ในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องเหมือนเดิม เพียงแต่จะลดคำด่าที่ไม่สุภาพให้น้อยลง

“บิ๊กตู่”ปลื้มกทม.แชมป์ผู้มาเยือน

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) และคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่มาสเตอร์การ์ดได้มอบโล่ให้กับกทม. ในฐานะเมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในโลก ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 จากผลสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก ประจำปี 2560

“นายกฯสนับสนุนให้ กทม.รักษาระดับความนิยมทุกรูปแบบของนักเดินทาง โดยเฉพาะให้กวดขันเรื่องความปลอดภัยและการเอารัดเอาเปรียบที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวเบื่อหน่าย เช่น การคิดราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ แท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก หรือค่าบริการอื่นๆ ที่สูงกว่าคนไทย รวมทั้งให้ติดราคาอาหารให้ชัดเจน สร้างความอบอุ่นและรอยยิ้ม เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า กทม.ครองอันดับ 1 เมืองจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเยือนมากที่สุดถึง 19.41 ล้านคน ตามมาด้วยลอนดอน 19.06 ล้านคน และ กทม. ยังติด 1 ใน 5 ของเมืองที่นักท่องเที่ยวพักค้างคืนและมีการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดถึง 14.08 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมุ่งเน้นมาท่องเที่ยวพักผ่อนและติดต่อธุรกิจเป็นหลัก พร้อมทั้ง ใช้จ่ายเงินไปกับการช็อปปิ้ง ค่าที่พัก และการบริการต่างๆ มากที่สุดตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีที่ กทม.ได้รับคัดเลือกจากสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้เข้าร่วมโครงการ Citizens Giving ชิงเงินรางวัลการกุศล 400,000 ปอนด์ เพื่อสนับสนุนโครงการสร้างสนามฟุตบอลในเมืองใหญ่และคัดเลือกเยาวชนเล่นฟุตบอลช่วยลดปัญหาสังคม ร่วมกับอีก 5 เมือง คือ แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ นิวยอร์กซิตี้และลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และกว่างโจว ประเทศจีน

สำหรับการได้รับคัดเลือกครั้งนี้ เกิดจากการที่ กทม. และ Right To Play Thailand องค์กรพัฒนาเอกชนนานาชาติในประเทศไทย ริเริ่มโครงการ Not Just For Kicks เพื่อใช้กีฬาฟุตบอลเป็นสื่อช่วยสร้างการเรียนรู้ ซึ่งนายกฯฝากขอบคุณและชื่นชมที่ช่วยกันดูแลและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนไทยอีกแรงหนึ่ง โดยผู้ที่สนใจสามารถร่วมโหวตให้กับโครงการของไทยได้ตามช่องทางของสโมสรฟุตบอลดังกล่าว

“บิ๊กอู๋”ลุยแก้ส่วยแรงงานต่างด้าว

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังมอบนโยบายปฏิบัติราชการในปี 2561 ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าส่วนราชการทั่วประเทศ ถึงกรณีการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ นายหน้า ร่วมกันทำเป็นขบวนการเก็บค่าหัวคิว เรียกรับส่วยแรงงานต่างด้าว ว่าตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกระดับไปแล้วต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพราะเป็นเรื่องเรื้อรังมานานมาก ตนเป็นอดีตผบ.ตร. รู้เรื่องนี้ดีและได้รับการร้องเรียนมามาก

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่จ.ภูเก็ต ผู้ประกอบการร้องเรียนถูกเจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บส่วยแรงงานต่างด้าว มากกว่า 30 หน่วยงาน พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า อย่าพูดลอยๆ ถ้ามีหลักฐานให้นำมามอบให้ตนพร้อมดำเนินการทันที ต่อข้อถามว่ามีกำหนดเวลาเส้นตายในการรื้อปัญหานี้หรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า เอาอย่างนี้แล้วกันอาจจะเปิดตู้ ป.ณ.ให้ส่งเรื่องปัญหาเรียกเก็บส่วย ร้องทุกข์เข้ามาที่กระทรวง ตนจะตั้งทีมงานลงไปดูพื้นที่ดังๆ และจะแก้ปัญหาให้ได้ ปัญหานายหน้าแรงงาน เจ้าหน้าที่เก็บส่วย ตนกำชับต้องแก้ให้ได้แน่นอน เพราะเรื้อรังมานานมากจะทำเต็มที่ขอให้รอดู ส่วนสหภาพแรงงาน ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขอไปดูข้อเท็จจริง เทียบกับค่าแรงของต่างประเทศ และผลกระทบศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศด้วย

พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ดำเนินการเร่งด่วน ขึ้นทะเบียน แรงงานต่างด้าวและพิสูจน์สัญชาติ ยังตกค้างอีก 1,137,294 คน ลงไปดูแลจัดระบบให้เกิดเอกภาพ เพื่อพี่น้องแรงงาน ได้รับความสะดวก ได้เร็วขึ้น เพราะขณะนี้การมาลงทะเบียน การตรวจสอบแรงงาน ใช้เวลานานมาก ต้องไปปรับแนวทางใหม่ ทำให้เป็นระบบครบวงจรไม่อย่างนั้นการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว จะไม่เสร็จตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ภายใน 31 มี.ค.2561 ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการกันให้ได้อาจจะฝืน ต้องทำให้ได้ ถ้าท่านใหญ่ๆ กันหมด จะไม่มีหัว ไม่มีเจ้าภาพ ต้องมีหัวเดียวเป็นหนึ่งเดียว ให้ปลัดกระทรวงเป็นประธานใหญ่ แรงงานจังหวัดเป็นหัวหน้าในพื้นที่ที่ต้องปรับใหม่เพราะการทำงานที่ผ่านมาทำเป็นเรื่องๆ เป็นแท่งๆ มันล้มเหลวมาก ถ้าไม่ไปทำตนจะสั่งย้ายให้มาอยู่ใกล้ๆ

 

 

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน