หมายเหตุ : รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เขียนบทความถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อวงการดาราศาสตร์ไทย
“ถ้าไม่ได้เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปรารถนาที่จะเป็นนักดาราศาสตร์ และอยากมีหอดูดาวที่จังหวัดเชียงใหม่”
พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าพระราชทานให้ฟังเมื่อคราวที่ผมถวายงาน ตั้งกล้องโทรทรรศน์ทอดพระเนตรดาว ขณะนั้นผมรับราชการเป็นอาจารย์สอนดาราศาสตร์ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผมรับฟังอย่างปลาบปลื้มใจที่พระองค์สนพระราชหฤทัยในดาราศาสตร์ และมีพระราชปรารภอยากให้ประเทศของเรามี “หอดูดาว” นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญอย่างยิ่ง ผลักดันให้เกิดการจัดตั้งหน่วยงานดาราศาสตร์ของชาติ ในนาม “สถาบันวิจัยดาราศาสตร์ แห่งชาติ” ในวันนี้
ความสนพระราชหฤทัยในดาราศาสตร์
ผมมีโอกาสถวายงานด้านดาราศาสตร์แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2531 ระหว่างทำงานก็จะมีโอกาสฟังเรื่องความสนพระราชหฤทัยด้านดาราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่บ่อยครั้ง นอกจากพระราชปรารภเรื่องโปรดจะเป็นนักดาราศาสตร์ และพระราชดำริอยากให้เมืองไทยมีหอดูดาวที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ว ยังมีเรื่องเล่า อีกหลายเรื่องที่น่าประทับใจ อาทิ
ครั้งหนึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กราบบังคมทูลว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำวิจัยเรื่อง “ดาวคู่” รับสั่งตอบว่าดาวคู่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ต้องมีการค้นคว้าวิจัยต่อไป สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ รับสั่งเช่นนี้ให้ผมฟังหลายครั้ง แสดงถึงความสนพระราชหฤทัยในวิชาความรู้เกี่ยวกับเอกภพอย่างลึกซึ้ง เพราะความรู้เกี่ยวกับดาวคู่นั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในเอกภพนี้ดาวเกือบทุกดวงเป็นระบบดาวคู่ สิ่งที่ปรากฏในเอกภพส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นคู่ แม้แต่ดวงอาทิตย์ ก็เชื่อว่ามีดาวคู่ชื่อว่า “เนเมซิส”
ขณะนั้นในฐานะอาจารย์มหา วิทยาลัยเชียงใหม่และกำลังทำวิจัยร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เกี่ยวกับระบบดาวคู่ ผมจึงจัดทำหนังสือความรู้และรวบรวมผลงานวิจัยเกี่ยวกับดาวคู่ ทูลเกล้าฯ ถวายในเวลาต่อมา งานวิจัยเรื่องดาวคู่ ยังคงศึกษาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดวิชาดาราศาสตร์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเรียนดาราศาสตร์ครั้งแรกในโรงเรียน ขณะประทับอยู่กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยา ณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ เมืองโลซาน ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
สมเด็จกรมหลวงฯ พระราชนิพนธ์ในหนังสือ “เวลาเป็นของมีค่า” ว่า “แม่สนใจดาราศาสตร์มานานแล้ว เมื่ออยู่สหรัฐอเมริกาเคยมีหนังสือดาราศาสตร์เบื้องต้น ต่อมาเมื่อลูกชายคนเล็กเรียนดาราศาสตร์ที่โรงเรียนในเมืองโลซาน แม่ซื้อหนังสือเรื่อง เลอซีล (Le Ciel แปลว่า ท้องฟ้า) ของสำนักพิมพ์ Larousse ให้ ในหนังสือเล่มนี้ มีแผนที่ ดาวและพระจันทร์อยู่ด้วย แม่เปิดหนังสือดูบ่อยจนแผนที่หลุดออกมา 3 แผ่น แม่เลยเอาออกมาใช้ต่างหาก
ในการเรียนดาราศาสตร์ ลูกชายคนเล็กของแม่ยังมีแผนที่ท้องฟ้าชนิดหมุนได้ไว้ตั้งตามวันที่และเดือนเพื่อจะได้ทราบว่า จะได้เห็นอะไรในวันนั้น แม่เห็นดีจึงซื้อมาใช้ด้วย ด้วยแผนที่นี้แม่จึงเริ่มศึกษาดาวจริงๆ ในท้องฟ้า”
ความสนพระราชหฤทัยในดาราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ทำให้สมเด็จย่าสนพระราชหฤทัยในดาราศาสตร์เช่นกัน เห็นได้จาก งานศิลปะ หรือสถาปัตยกรรมต่างๆ มักมีเรื่องราวดาราศาสตร์ และกลุ่มดาวปรากฏอยู่มากมาย เช่น ลวดลายบนจาน ชามกระเบื้องที่ทรงวาดโคมไฟ ภาพวาดกลุ่มดาวบนเพดาน และระเบียงที่ พระตำหนักดอยตุง ฯลฯ
รัชกาลที่ 9 ยุคทองของดาราศาสตร์ไทย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นยุคทองของดาราศาสตร์ไทย พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินร่วมทอดพระเนตรเหตุการณ์สำคัญทางดาราศาสตร์หลายครั้ง ทำให้ประชาชนตื่นตัวกับดาราศาสตร์ วงการดาราศาสตร์ไทยจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด เกิดการวิจัย การศึกษาดาราศาสตร์อย่างเป็นระบบ ดาราศาสตร์ไทยจึงก้าวหน้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดาราศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
ประเทศไทยเริ่มจัดการเรียนการสอนดาราศาสตร์ระดับอุดมศึกษาเป็นแห่งแรก ที่แผนกฟิสิกส์ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีทั้งการเรียนการสอนและการวิจัย ในปี พ.ศ.2500 อาจารย์ระวี ภาวิไล นักวิจัยดารา ศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย สร้างหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ พร้อมติดตั้งกล้องโทรทรรศน์เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 นิ้ว ขึ้นที่บริเวณดาดฟ้าตึกฟิสิกส์ 1
ในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนฯ เสด็จมาทอดพระเนตรดาวศุกร์ ตอนกลางวันที่หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ดังกล่าว
หลังจากนั้น ในปี 2535 เริ่มเปิดใช้งานกล้องโทรทรรศน์ เส้นผ่านศูนย์กลาง 45 เซนติเมตร ได้รับอนุเคราะห์จากรัฐบาลญี่ปุ่น และ หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ ซึ่งสร้างขึ้นจากเงินงบประมาณของจุฬาฯ เพื่อทดแทนของเดิม
การเปิดท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2507 ตรงกับวันวิทยา ศาสตร์แห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราช ดำเนินทรงเป็นประธานพิธีเปิดท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ สำหรับแหล่งเรียนรู้ดาราศาสตร์ของคนไทย
ในวันนั้น เสด็จฯ ทอดพระเนตรนิทรรศการดาราศาสตร์ ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพจัดถวายเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่บ้านหว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ปัจจุบันท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่สำคัญสำหรับประชาชนจนถึงทุกวันนี้
ก่อตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ชาติ
ในปี 2538 ผมมีโอกาสตามเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนหอดูดาวยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ทอดพระเนตรดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร รับสั่งกับผมว่า “ทำไมเมืองไทยไม่มีกล้อง โทรทรรศน์ขนาดใหญ่แบบนี้บ้าง” เป็นคำถามที่ติดค้างในใจผมมาตลอด
ในปี 2545 ขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ขณะนั้นรักษาการคณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดารา ศาสตร์แห่งชาติ) ร่วมกันผลักดันการก่อตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
กระทั่งที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย เห็นชอบให้เสนอต่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเฉลิมพระ เกียรติครบรอบ 200 ปี แห่งการพระบรม ราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระชนม พรรษา 80 พรรษา
ปี 2547 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในวันที่ 27 ธ.ค. 2551 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2551 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2552
พระราชดำริที่เป็นจริง
หลังจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติจัดตั้งสำเร็จ เราเร่งดำเนินการภารกิจสำคัญในการวางโครงสร้างหลักทางดาราศาสตร์ของประเทศ ด้วยการสร้าง “หอดูดาวแห่งชาติ” ที่ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ระดับมาตรฐานโลก จนกระทั่งในวันที่ 28 ก.ย. 2554 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามหอดูดาวแห่งชาติว่า “หอดูดาวเฉลิม พระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา”
สถาบันยังมีแผน การสร้าง “หอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชน” อีก 5 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา สงขลา พิษณุโลก และขอนแก่น โดยหอดูดาวทุกแห่งได้รับพระมหา กรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ รับเป็นโครงการใน พระราชดำริด้วย
ดาราศาสตร์ไทย พัฒนาคน พัฒนาชาติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำริแน่วแน่ว่าสิ่งหนึ่งที่จะให้ประเทศเจริญได้ก็คือเรื่องคน และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ก็รับสนองพระราชดำรินี้ มีรับสั่งเสมอว่า “อยากให้ใช้โครงสร้างดาราศาสตร์ พื้นฐานต่างๆ ของสถาบัน ในการพัฒนาคน”
การใช้ดาราศาสตร์พัฒนาคน ถือเป็นภารกิจสนองพระราชดำริที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติถือเป็นหลักสำคัญในการทำงาน
ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือชุดพระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทย : รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช : ยุคทองของดาราศาสตร์ไทย, เจ้าฟ้านักดาราศาสตร์, เวลาเป็นของมีค่า พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, เว็บไซต์อุทยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี, เว็บไซต์ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย