ประวัติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (เจ้าฟ้าพร) ผู้ปราบปรามความไม่สงบ-ฟื้นฟูพุทธศาสนา ยุครุ่งเรืองยุคสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ก่อนอาณาจักรล่มสลาย ใน พรหมลิขิต
วันนี้ (30 ต.ค. 66) เรียกได้ว่าดำเนินเรื่องอย่างเข้มข้น สำหรับละครฟอร์มยักษ์ “พรหมลิขิต” ภาคต่อจาก ‘บุพเพสันนิวาส’ ที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ รอมแพง ในภาคนี้นอกจากสีสันความสนุก และความฟินจากพระ-นางแล้ว ก็ยังคงสอดแทรกประวัติศาสตร์สำคัญในอดีตอีกด้วย
โดยอีกหนึ่งตัวละครสำคัญ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” หรือ เจ้าฟ้าพร รับบทโดย ‘อ้วน-เด่นคุณ งามเนตร’
ประวัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (เจ้าฟ้าพร)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ. 2223 – 7 เมษายน พ.ศ. 2302) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 31 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่ 4 ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง
เรียกกันอย่างสามัญชนว่า ขุนหลวงบรมโกษฐ หรือ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐ รัชสมัยของพระองค์เป็นยุครุ่งเรืองยุคสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาก่อนที่อาณาจักรจะล่มสลายหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต 9 ปี
“25 ปีในรัชสมัยของพระองค์มีความสำคัญคือ
เป็นยุคสงบสุขยุคสุดท้ายของอยุธยา
เป็นยุคที่งานวรรณกรรม ศิลปกรรม เฟื่องฟู”
ก่อนครองราชย์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีพระนามเดิมว่า ‘เจ้าฟ้าพร’ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2223 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)
มีพระเชษฐาคือเจ้าฟ้าเพชร พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระบัณฑูรน้อยในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 และเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ)
ปราบดาภิเษก
ภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ได้เกิดการสู้รบกันระหว่างพระองค์กับพระราชโอรสของพระเจ้าท้ายสระคือ ‘เจ้าฟ้าอภัย’ และ ‘เจ้าฟ้าปรเมศร์’
อันเนื่องมาจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีสิทธิที่จะขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อพระเชษฐาอย่างถูกต้อง แต่เมื่อพระเจ้าท้ายสระใกล้สวรรคตกลับตัดสินพระทัยยกราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่
แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่รับสืบราชสมบัติเพราะเห็นว่ามีกรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งสมควรได้สืบราชสมบัติมากกว่า พระเจ้าท้ายสระจึงยกราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย (พระราชโอรสองค์รอง) เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กินระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี
คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าภายหลังเหตุการณ์สงบแล้ว กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงได้ขึ้นครองราชย์เฉลิมพระนามว่าพระมหาธรรมราชา (แต่ในบัญชีพระนามเจ้านายว่าพระเจ้าบรมราชา) และสำเร็จโทษเจ้าฟ้าอภัย และ เจ้าฟ้าปรเมศร์
พระอุปนิสัย
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีพระกมลสันดานต่างกันกับพระบรมพระบิดา (สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี) และพระเชษฐาธิราช (สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ)
โดย เป็นพระมหากษัตริย์ที่ ‘ละเว้นการปาณาติบาต’ หรือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทรงประพฤติกุศลสุจริตธรรม สมณพราหมณาประชาราษฎร
ระหว่างครองราชย์
ระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองราชย์ เกิดเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย อาทิ เสด็จประพาสล้อมช้าง ณ เมืองลพบุรี, กบฏจีนนายก่าย (พ.ศ. 2277), พระราชโอรสแย่งชิงราชสมบัติ, กรุงกัมพูชานำช้างเผือกมาถวาย, เสด็จสมโภชพระพุทธชินราช เมืองพิษณุโลก,การเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงอังวะ และ ส่งสมณทูตฟื้นฟูศาสนาพุทธ ณ กรุงลังกา
พระราชกรณียกิจ
ด้านการเมืองการปกครอง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและพระศาสนาจนกล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยพระองค์นั้น สมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์เรียกว่าเป็น ยุคบ้านเมืองดี
มีขุนนางคนสำคัญที่เติบโตในเวลาต่อมา ในรัชกาลของพระองค์หลายคน เช่น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นต้น
ในทางด้านวรรณคดี ก็มีกวีคนสำคัญ เช่น เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ เจ้าฟ้ากุณฑล และเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดา เป็นต้น
ทว่าการเมืองภายในกรุงศรีอยุธยารัชสมัยพระองค์ก็ยังมีความขัดแย้งสูงมาก ไม่สามารถควบคุมการแสวงหาผลประโยชน์ของขุนนางได้มากนัก ด้วยสาเหตุการขยายตัวด้านการค้าและเงินตราที่มุ่งแต่ “…จเอาแต่เงินเป็นอนาประโยชน์เอง”
นอกจากนี้การขึ้นครองราชย์ของพระองค์ก็ล้วนมีขุนนางให้ความช่วยเหลือ พระองค์จึงทรงประนีประนอมผลประโยชน์ และอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับขุนนางให้เกิดความสงบสุข
ด้านศิลปวัฒนธรรม
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีพระจริยวัตรโอบอ้อมอารี ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส และถือวัตรปฏิบัติตามแนวพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
ตลอดรัชกาลพระองค์ทรงใส่พระทัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่ยอมรับของประเทศที่นับถือศาสนาพุทธด้วยกัน พระองค์ทรงได้รับสมัญญาว่าเป็น พระธรรมราชา อีกทั้งยังทรงสร้างปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ อย่างประณีต
วัดที่สร้างปฏิสังขรณ์ในรัชกาล อาทิ
- วัดพระศรีสรรเพชญ์
- วัดพระราม ป
- พระเจดีย์ภูเขาทองและพระอารามวัดภูเขาทอง (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
- วัดกุฎีดาว
- วัดจันทร์สุวรรณโพธิธาราม (วัดแลง) จังหวัดระยอง
- วัดศรีโพธิ์ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
ยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรรมในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนับว่าเป็นศิลปกรรมยุคที่ 4 ที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยอยุธยาตอนปลาย
รัชกาลพระองค์ทรงทำนุบำรุงบทกวีและวรรณคดีให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเป็นองค์อุปถัมภ์วรรณคดีตลอดระยะเวลาที่ครองราชย์ มีงานนิพนธ์ทุกชนิดโดยเฉพาะกลอน ทั้งกลอนกลบทและกลอนบทละคร เชื่อว่าถือกำเนิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
วรรณกรรมชิ้นเอกที่เป็นที่รู้จักในรัชกาลพระองค์ อาทิ
- โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ พ.ศ. 2270 วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
- โคลงประดิษฐ์พระร่วง (ปรดิดพระร่วง)
- โคลงพาลีสอนน้อง
- โคลงราชสวัสดิ์
- โคลงทศรถสอนพระราม
- โคลงราชานุวัตร
- จินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ
- อิเหนา
- กาพย์ห่อโคลงนิราศประพาสธารทองแดง
- กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก
- กาพย์ห่อโคลงนิราศพระบาท
การสวรรคต
เมื่อ พ.ศ. 2293 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีพระชนมายุ 71 พรรษา (บ้างว่า 70 พรรษา) ก่อนถึงพระวาระสุดท้ายนั้น เกิดเหตุอัศจรรย์หลายอย่างเป็นลางบอกเหตุ
จนกระทั่งถึงเวลาค่ำปฐมยามเศษ (ราว 18.00 น.) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงเสด็จสวรรคตเมื่อวันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2301 สิริพระชนมายุ 78 พรรษา พระองค์อยู่ในราชสมบัติรวม 26 พรรษาถ้วน