เปิดประวัติ “พระยาราชนุกูล” (ทองคำ) เป็นหลานชาย ‘โกษาปาน’ สืบเชื้อสายบรรพบุรุษ ‘ราชวงศ์จักรี’ และมีศักดิ์เป็นปู่รัชกาลที่ 1

วันนี้ (3 พ.ย. 66) ทยอยเปิดตัวละครสำคัญใหม่ เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนละคร และคอประวัติศาสตร์อย่างมาก สำหรับละคร “พรหมลิขิต” ภาคต่อจาก ‘บุพเพสันนิวาส’ ทางช่อง 3 ผลงานของผู้จัด “หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์” แห่งค่าย บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น

อีกหนึ่งตัวละครยอดนักบู๊แห่งอยุธยาที่น่าจับตามองนั่นก็คือ พระยาราชนุกูล (ทองคำ) รับบทโดย “เพ็ชร-ฐกฤต ตวันพงค์” เป็นคนสนิทของ ‘สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ’ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยอีกด้วย

พระยาราชนุกูล

ภาพประกอบ จาก ละคร พรหมลิขิต

แผนผังตัวละคร พรหมลิขิต

ภาพประกอบ จาก ละคร พรหมลิขิต

ประวัติ พระยาราชนุกูล (ทองคำ)

‘พระยาราชนุกูล’ หรือ ‘ทองคำ’ เป็น บุตรชายคนโตของ เจ้าพระยาวรวงศาธิราช (ขุนทอง) ทั้งยังมีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆของ ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) โดยมีรายละเอียดวงศ์ตระกูลดังนี้

ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ขุนนางในอาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส ‘โกษาปาน’ มีบุตรธิดารวม 4 คน โดยบุตรคนโตเป็นผู้หญิง ส่วนอีก 3 คนที่เหลือเป็นผู้ชาย

จากหนังสือเรื่อง อภินิหารบรรพบุรุษ ระบุว่า “ขุนทอง” (สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ว่า “คุณทอง”) เป็นบุตรชายคนโตของออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ได้ถวายตัวเข้ารับราชการในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระญาสุรศักดิ์ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ 7 (ออกพระเพทราชา)

โดยมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอัษฎาเรืองเดช จางวางกรมพระตำรวจ ส่วนออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้บิดาได้ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2243

ครั้นพระญาสุรศักดิ์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระสุรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ ครองราชย์ พ.ศ. 2246-51) แล้ว ความที่ พระยาอัษฎาเรืองเดช (ขุนทอง) มีฐานะเป็นเจ้าราชนิกุลและข้าหลวงเดิม จึงโปรดพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีพระคลัง (สมุดจดบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ระบุว่า ก่อนหน้านี้ท่านขุนทองมีตำแหน่งเป็นพระยากลาโหม ภายหลังจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีการต่างประเทศ)

โกษาปาน

ภาพประกอบ จาก ละคร พรหมลิขิต

“ทองคำ” ถวายตัวเข้ารับราชการเป็น พระนายจมื่นมหาสนิท หัวหมื่นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในแผ่นดินสมเด็จพระสุรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ)

ต่อมา พระนายจมื่นมหาสนิท (ทองคำ) อพยพครอบครัวย้ายไปทำราชการอยู่ที่บ้านสะแกกรัง แขวงเมืองอุทัยธานี ระหว่างที่พระนายจมื่นมหาสนิท (ทองคำ) รับราชการอยู่ที่แขวงเมืองอุทัยธานี ภริยาของท่านได้ให้กำเนิดบุตรชายคนโตนามว่า “ทองดี”

ครั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 4 (พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ครองราชย์ พ.ศ. 2251-75)

ด้วยเหตุที่ พระนายจมื่นมหาสนิท (ทองคำ) เป็นเจ้าราชนิกุลและข้าหลวงเดิม จึงโปรดให้แต่งตั้งเป็นพระยาราชนิกูล ปลัดทูลฉลองในกรมมหาดไทย พระยาราชนิกูล (ทองคำ) จึงอพยพย้ายครอบครัวกลับมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลป่าตองใกล้กับวัดบรมพุทธาวาศน์ (วัดกระเบื้องเคลือบ) อันเป็นนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่ 7 (ออกพระเพทราชา)

เมื่อท่าน ‘ทองดี’ มีอายุสมควรแก่การเข้ารับราชการแล้ว พระยาราชนิกูล (ทองคำ) นำบุตรชายเข้าถวายตัวให้รับราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 5 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ (เจ้าฟ้าเพชร ครองราชย์ พ.ศ. 2275-2301)

โดยให้มาช่วยเหลืองานของตนอยู่ที่กรมมหาดไทย ภายหลังท่าน ‘ทองดี’ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘หลวงพินิจอักษร’ เสมียนตราในกรมมหาดไทย

เมื่อ หลวงพินิจอักษร (ทองดี) อายุครบ 20 ปี พระยาราชนิกูล (ทองคำ) จึงทำการอุปสมบทหลวงพินิจอักษร (ทองดี) บุตรชายเป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม

เมื่อลาสิกขาแล้ว พระยาราชนิกูล (ทองคำ) ได้สู่ขอ “คุณดาวเรือง” หลานสาวของเจ้าพระยาอภัยราชา อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก ให้วิวาหมงคลกับหลวงพินิจอักษร (ทองดี) แล้วท่านทั้งสองก็ย้ายมาอยู่ยังนิวาสสถานของตระกูลคุณดาวเรือง ภายในกำแพงพระนครเหนือป้อมเพชร

พระยาราชนุกูล

ภาพประกอบ จาก ละคร พรหมลิขิต

อยู่มา หลวงพินิจอักษร (ทองดี) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอักษรสุนทรสาสน์ เจ้ากรมเสมียนตราในกรมมหาดไทย มีหน้าที่ร่างพระราชสาสน์ต่าง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดิน และออกสารตราสั่งการไปยังหัวเมืองเหนือ รวมถึงเก็บรักษาพระราชลัญจกรอันเป็นตราประจำแผ่นดิน

ก่อนหน้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาจะเสียให้แก่กองทัพพม่าใน พ.ศ. 2310 เพียงไม่นาน พระอักษรสุนทรสาสน์ (ทองดี) ได้อพยพหนีภัยสงครามขึ้นไปรับราชการอยู่กับ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ซึ่งตั้งตนเป็นเจ้าก๊กพิษณุโลก โดย พระอักษรสุนทร (ทองดี) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาจักรี อัครมหาเสนาบดีสมุหนายกเมืองพิษณุโลก

ต่อมา พ.ศ. 2311 เจ้าพิษณุโลก (เรือง) ทำสงครามมีชัยชนะเหนือพระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 6 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน ครองราชย์ พ.ศ. 2310-25) ก็มีใจกำเริบ จึงประกาศตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินรับราชโองการอยู่ได้ 7 วัน ก็ประชวรเป็นวัณโรคขึ้นในคอถึงแก่พิราลัย

ส่วน เจ้าพระยาจักรี (ทองดี) ซึ่งมิได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ได้แอบอาศัยอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมืองพิษณุโลกเสียให้แก่เจ้าพระฝาง (เรือน) เจ้าก๊กเมืองสวางคบุรี ต่อมาไม่นาน เจ้าพระยาจักรี (ทองดี) ก็ล้มป่วยด้วยพิษไข้จนถึงแก่อสัญกรรมในเมืองพิษณุโลกนั้นเอง

ภาพประกอบ

ภาพประกอบ จาก ละคร พรหมลิขิต

เจ้าพระยาจักรี (ทองดี) ผู้นี้ คือ “สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก” หรือ “สมเด็จพระชนกาธิบดี” ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี

แม้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ว่าบรรพบุรุษของพระองค์เป็นเพียงเสนาบดีต่างประเทศ คือเสนาบดีคลัง แต่สำหรับข้าพเจ้า(เซอร์จอห์น เบาริง ) กลับเห็นว่า

ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) อาจมีชาติกำเนิดที่สูงส่งกว่าเป็นเพียงบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต (หม่อมเจ้าบัว) อันเกิดกับลูกหลานคนหนึ่งของพระญาเกียรติ ขุนนางเชื้อสายมอญ

แต่ท่านอาจมีชาติกำเนิดเป็นถึง “พระโอรส” ในพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งพระองค์ทรงเป็น “โอรสลับ” ของสมเด็จพระนเรศ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ความลับเรื่องนี้น่าจะเป็นที่รับรู้กันภายในราชสำนักสยามเป็นอย่างดี

ทฤษฎีเรื่อง ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) เป็น “พระราชนัดดา” ในสมเด็จพระนเรศ ของข้าพเจ้านั้น ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเลื่อนลอยไปเสียทีเดียว เพราะหลังจากเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกทัพกลับจากปราบขบถเมืองจำปาศักดิ์เมื่อ พ.ศ. 2320 (หนังสือเรื่องปฐมวงศ์ ฉบับที่ 2 ว่า พ.ศ. 2322) พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ 6 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระราชดำริว่า

“เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ทำความชอบต่อแผ่นดินมามาก แต่ยศศักดิ์ยังหาสมกับความชอบไม่ จึงโปรดพระราชทานนามบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิลึกมหิมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศรราชสุริยวงศ์ องค์อัครบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก”

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามรัชกาลปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีเสียใหม่ ในหนังสือเรื่อง กำหนดพระนามสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร มหินทรายุทธยา ทั้ง 4 รัชกาล แลพระนามกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แลพระนามกรมพระราชโอรสธิดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 รัชกาล จดพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนาถ นเรศวรราชวิวัฒนวงศ์ ประถมพงศ์ธิราชรามาธิบดินทร์ สยามวิชิตินทรวโรดม บรมนาถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์”

การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้รับพระราชทานสร้อยนามบรรดาศักดิ์ ว่า “นเรศรราชสุริยวงศ์” และได้รับการถวายสร้อยพระนามว่า “นเรศวรราชวิวัฒนวงศ์” ย่อมเป็นการแสดงว่า พระองค์ทรงเป็นพระราชวงศ์ในสมเด็จพระนเรศ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันเป็นอย่างดีในราชสำนักสยามยุคนั้น ว่า พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระนเรศ กษัตริย์สมัยศรีอยุทธยา

หากออกญาโกษาธิบดี(ปาน) เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระนเรศจริง ตามที่ข้าพเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานไว้ ราชวงศ์จักรีก็อาจจะสืบสาวสายสัมพันธ์ทางเครือญาติย้อนกลับไปจนถึงราชวงศ์พระร่วง เมืองสุโขทัย เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ราชวงศ์จักรีจึงนับเป็นพระราชวงศ์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม, มติชนอคาเดมี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน