ชลน่าน เผยตัวเลข “พยาบาล” ขาดแคลนหนักมาก 1 คนดูแลคนไข้เกือบ 400 คน จ่อปั้น นศ.ปริญญาตรีทุกสาขา เข้าเรียน 2 ปีครึ่ง ได้ใบรับรองวิชาชีพ

วันที่ 21 ก.พ.2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 2/2567 ว่า วาระพิจารณาในที่ประชุมวันนี้ ได้ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายของสธ. โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน หรือ ควิกวิน (Quick Win) เพื่อประเมินผลนโยบายไตรมาส 2 กลางปี (Midyear Success) ส่วนประเด็นที่น่าสนใจอื่น ได้แก่

1.ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) รับรองว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหารจนได้รับการรับรอง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ และเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของประชาชน

2.ที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการผลิตพยาบาลเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลน โดยสถาบันพระบรมราชชนก (สบช.) และสภาการพยาบาล ซึ่งเป็นภารกิจเร่งด่วนในการผลิตพยาบาลใน 2 ปี 6 เดือน โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2568 เนื่องจากปัจจุบันตัวเลขความขาดแคลนพยาบาลอยู่ประมาณ 50,000 คน

ทั้งนี้ การผลิตพยาบาลในโครงการดังกล่าวจะใช้วิธีการออกหลักสูตรเร่งรัดที่ได้มาตรฐาน ใช้เวลาศึกษา 2 ปี 6 เดือน ซึ่งรับผู้ที่จบปริญญาตรีทุกสาขาแล้วไปต่อยอดให้เป็นพยาบาล แต่หากเป็นสาขาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็จะเป็นต้นทุนที่ดี

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นด้วยในหลักการ แต่ให้ข้อสังเกตเรื่องของกระบวนการผลิตหลักสูตรและการรับรอง ไปจนถึงเรื่องของงบประมาณ จึงมอบหมายให้ สบช. ไปผู้ดูแลโครงการและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า 3.กรณีที่มีข้อเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พิจารณาอนุมัติยารักษาโรคจิตเวชชนิดฉีด (LONG ACTING ANTIPSYCHOTIC INJECTABLE)








Advertisement

สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่มีแนวโน้มก่อความรุนแรง (Serious Mental Illness: SMI) ที่ไม่ยอมรับประทานยา ซึ่งมีจำนวน 42,000 คน แยกเป็นระดับ V1 ที่ทำร้ายตัวเอง และ V4 ที่ทำร้ายสังคม

เบื้องต้นให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีสำรองยาไว้ใช้ได้ราว 3 เดือน แต่ด้วยยาตัวนี้ยังเป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ จึงยังไม่อยู่ในสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพภาครัฐ ที่ประชุมจึงมีมติให้นำเสนอยาตัวนี้เข้าสู่ขั้นตอนเพื่อบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ

ส่วนระหว่างที่มีการพิจารณาให้เสนอเข้าสู่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) เพื่อใช้เงื่อนไขเชิงนโยบาย พิจารณาใช้งบประมาณอุดหนุนมาจัดหาให้ผู้ป่วยใช้ก่อน

4.การขับเคลื่อนงานในไตรมาสที่ 2 ในโครงการพาหมอไปหาประชาชน ที่ดำเนินการตั้งแต่ วันที่ 14 ม.ค. รวม 16 จังหวัด ให้การดูแลประชาชน 70,683 ราย, โครงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ที่จะเริ่มเปิดโครงการในวันที่ 29 ก.พ. นี้

โดยจะมีการลงนามความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งจะมีงานที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี โดยมีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และเชิญ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีวิกฤตพยาบาลขาดแคลน ณ ขณะนี้คืออะไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วิกฤตที่เจอคือ ความขาดแคลนพยาบาลในการดูแลประชาชน อย่างแพทย์ 1 คน ต้องมีพยาบาลอย่างน้อย 4 คน แต่พยาบาลเรามีสัดส่วนดูแลประชาชนเฉลี่ยเพียง 1 ต่อ 300 กว่าคน มีเพียงบางพื้นที่อยู่ 1 ต่อ 700 คน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเฉลี่ยยังขาดแคลนอยู่ 51,420 คน

นี่คือเฉพาะภาครัฐ ไม่ได้รวมเอกชน จึงเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องผลิตเพิ่ม แม้ที่ผ่านมาจะประสานภาคเอกชนที่ผลิตว่า จบมาแล้วจะดึงเข้าระบบกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ยังไม่พอ

“การขาดแคลนพยาบาล และปัญหาการกระจายกำลังคนด้านบริการสุขภาพตามภูมิภาคนั้น สัดส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรในประเทศไทยอยู่ที่ 1 ต่อ 343 ขณะที่องค์การอนามัยโลกระบุสัดส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรที่ 1 ต่อ 270 คน

โดยไทยมีปัญหาการกระจายกำลังคนด้านสุขภาพในส่วนภูมิภาค 42 จังหวัดที่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ต่อ 400 และมี 15 จังหวัดที่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ต่อ 500

โดยสัดส่วนประชากรต่อพยาบาลสูงสุดใน 5 จังหวัดแรก คือ

1.หนองบัวลำภู สัดส่วน 1 ต่อ 712 คน

2.บึงกาฬ สัดส่วน 1 ต่อ 608 คน

3.เพชรบูรณ์ สัดส่วน 1 ต่อ 572

4.กำแพงเพชร สัดส่วน 1 ต่อ 571

5.ศรีสะเกษ สัดส่วน 1 ต่อ 569”

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ไม่เพียงแต่เรื่องการผลิตพยาบาล ยังมีอีกโครงการที่ล่าสุด ครม.มีมติเห็นชอบผลิตทีมหมอครอบครัว ซึ่งเป็นการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ 9 สาขา หรือ 9 หมอ ลงไปในหน่วยบริการปฐมภูมิ

เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฯ พยาบาล ทันตแพทย์ชุมชน เภสัชกรชุมชน แพทย์แผนไทย ผู้ช่วยทันตแพทย์ ผู้ช่วยพยาบาล นักจัดการฉุกเฉินชุมชน และนักวิชาการสาธารณสุข โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 37,234.48 ล้านบาทในระยะเวลา 10 ปี เมื่อผลิตครบจะมีคนเข้าสู่ระบบราว 6.2 หมื่นคน

ผู้สื่อข่าวถามกรณีจะสร้างแรงจูงใจคนมาเรียนทีมหมอครอบครัว โดยเฉพาะแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่ผ่านมาคนเรียนน้อย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้เราให้ความสำคัญ ได้วางแนวทางเพื่อรองรับให้กับแพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการบริการปฐมภูมิ ซึ่งมีหลายแนวทาง

ยกตัวอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ได้เสนอให้ปรับแก้หลักเกณฑ์วิธีการจ่ายค่าตอบแทนให้สอดคล้อง รวมถึงการเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษ หรือ พ.ต.ส. จาก 10,000 บาท เพิ่มเป็น 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน

“สธ.กำลังเสนอเรื่องอายุงาน อย่างหากเรียนเพื่อไปปฏิบัติงานหน่วยบริการปฐมภูมิจริง เราจะทำความตกลงกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ว่า จะเริ่มนับอายุงานตั้งแต่เริ่มเรียน ขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ แต่เวลาจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้จ่ายขณะเรียน ต้องทำงานก่อน แต่นับอายุงานย้อนหลังให้

ซึ่งเป็นสวัสดิภาพ สวัสดิการต่างๆได้ ที่สำคัญคือการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับเนื้องาน เช่น สามารถจัดเม็ดเงินลงไปลักษณะเหมาจ่ายรายหัวแบบแยกเรื่องของบริการผู้ป่วยนอก หรือส่งเสริมสุขภาพเฉพาะปฐมภูมิได้หรือไม่ นี่เป็นข้อเสนอที่กำลังหารือกันอยู่” นพ.ชลน่าน กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน