ตามที่ “บิ๊กเสือ” นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนมิถุนายนนี้ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสรรหา ผู้ว่าการ กกท.คนใหม่ขึ้นมาโดยมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นประธานคณะกรรมการ แต่อาจใช้ระยะเวลาดำเนินการถึง 6 เดือน ขณะที่ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องการให้นายสกลดำรงตำแหน่งต่อไปจนถึงช่วงที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพกีฬาใหญ่ระดับโลกในการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2018 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่ลแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ช่วงเดือนตุลาคมนั้น

ล่าสุด “บิ๊กเสือ” เปิดเผยว่า ส่วนตัวอยากเปิดโอกาสให้รองผู้ว่าการ กกท. หรือคนนอก ที่มีความรู้ ความสามารถและคุณสมบัติครบถ้วน เข้ามาบริหารงานองค์กรหลักในการพัฒนากีฬาของชาติ ซึ่งกีฬากำลังได้กระแสในปัจจุบัน โดยทาง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ท่านห่วงเรื่องการเป็นเจ้าภาพโมโตจีพีมาก ทั้งเรื่องการเดินทาง และที่พัก ไม่ใช่เพียงด้านเทคนิคเท่านั้น ท่านจึงอยากให้ผมอยู่ทำหน้าที่ต่อไป

“ผมบอกท่านไปว่ายังไงผมก็อยู่ช่วยแน่นอน ซึ่งผมก็สามารถอยู่ช่วยอยู่ข้างๆได้ ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ต่อหรอก ผมคิดว่าคนเราถ้าอายุถึง 60 ปีแล้วคงถึงเวลาที่จะหยุด เพื่อไปคิดทำอะไรอย่างอื่น และเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นด้วย ทั้งคนใน หรือคนนอก เรื่องนี้เราคงต้องเชียร์คนใน เปิดใจคนนอก แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ค่อยมาคุยกันหาวิธีการอีกครั้งหนึ่ง และผมก็คงจะปรึกษากับท่านวีระศักดิ์ต่อไป” นายสกลกล่าว

ผู้ว่าการ กกท.กล่าวอีกว่า ขณะกระบวนการสรรหาผู้ว่าการ กกท.คนใหม่ ก็ต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งหากกระบวนเสร็จสิ้นไม่ทันตามหลักการในกรณีที่ไม่มีผู้ว่าการ กกท. จะต้องมีการแต่งตั้งรองผู้ว่าการ กกท. คนใดคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการ แต่ถ้าไม่มี หรือไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้คัดเลือกพนักงานคนใดคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการ เพราะฉะนั้นไม่น่ากังวลว่า จะเกิดสุญญากาศ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ตัวเองยังมีความเป็นห่วงคือ เรื่องการบริหารสัญญาโมโตจีพี 2 ส่วน คือ 1.ดอร์น่า เจ้าของลิขสิทธิ์ และ 2.ผู้ประกอบการภายในที่ทำกับบุรีรัมย์ที่จะต้องบริหารสัญญาหาเงิน 300 ล้านบาทมาจัดต่อปีให้ได้ ไม่ใช่ขอรัฐเพิ่มเติมอีกจากเดิมที่รัฐให้ปีละ 100 ล้านบาทไปแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน