วันนอร์ แจงยิบ ยึดตาม‘ชวน’เคยวินิจฉัยร่างของ”สมพงษ์”มาแล้ว ก่อนมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 233 ต่อ 103 ให้ส่งศาลรธน.วินิจฉัยอำนาจรัฐสภา

วันที่ 29 มี.ค.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาญัตติ เรื่องของเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภา มีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ของนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ

เวลา 17.30 น. นายวันมูหะมัดนอร์ ขอชี้แจง ว่า ตนถูกพาดพิงหลายครั้งในการปฏิติหน้าที่ ตนถือว่าเป็นเรื่องปกติ และตนจำเป็นต้องชี้แจงไม่ใช่ความเห็นที่ไม่ต้องการ แต่อยากชี้แจงในการปฏิบัติหน้าที่ของตนสมาชิกไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกับประธานฯเสมอไป

ตนปฎิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับ คือเรื่องที่ว่าทำไมประธานฯ จึงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่นายชูศักดิ์เสนอมาเป็นเพราะอะไร ตนขอชี้แจงว่าร่างของนายชูศักดิ์ เป็นร่างทำนองเดียวกันกับร่างที่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ กับคณะเสนอมาเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.64 ซึ่งร่างของนายสมพงษ์นั้น นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ขณะนั้น ได้วินิจฉัยว่าไม่สามารถบรรจุได้ ตามมติความเห็นของคณะกรรมการประสานงานได้เสนอต่อประธานสภาฯ ในเรื่องวินิจฉัยการบรรจุกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.64 นายชวน จึงให้สำนักงานฯแจ้งผลไปยังนายสมพงษ์เมื่อวันที่21 มิ.ย.64

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า เมื่อนายชูศักดิ์ เสนอมาวันที่ 16 ม.ค.67 ตนให้ฝ่ายประสานงานกฎหมายของสภาฯวินิจฉัยเบื้องต้น ซึ่งคณะกรรรมการวินิจฉัยมีความเห็นสองฝ่าย โดยเสียงส่วนน้อยเห็นว่าควรบรรจุได้ และเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ควรบรรจุ เพราะเป็นกฎหมายทำนองเดียวกันกับของนายสมพงษ์

แต่เพื่อความรอบคอบตนบอกว่า ถึงแม้จะเป็นกฎหมายทำนองเดียวกันเพราะเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว จึงให้พิจารณาอีกครั้ง คณะกรรมการก็ได้ประชุมใหม่ และมีความเห็นเสียงข้างมากว่าถ้าบรรจุแล้วจะขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/64 แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นผูกพันทุกองค์กร เมื่อคณะกรรมการเสียงข้างมากเห็นตรงกับการคำวินิจฉัยเมื่อปี 64 ซึ่งนายชวนก็ได้ให้ความเห็นตามเสียงข้างมากนั้น

“เมื่อผมได้พิจารณาและให้ประชุมใหม่อีกครั้งก็เห็นตรงอย่างเดิม ผมในฐานะประธานสภาฯ จึงมาใคร่ครวญ และตรวจสอบแล้ว ก็ไม่สามารถให้บรรจุได้เช่นเดียวกัน ผมจึงให้เลขาฯส่งหนังสือไปยังนายชูศักดิ์ และผมได้เชิญนายชูศักดิ์ มาพบเพื่อชี้แจงมติของคณะกรรมการ และความเห็นของผมอีกครั้ง ซึ่งนายชูศักดิ์บอกว่าไม่เป็นไร และบอกว่าจะะหาทางทำอย่างอื่นแทน จึงเป็นที่มาของญัตติวันนี้ เพื่อให้สภาฯ พิจารณาว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยว่าสภาจะมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจในการตรากฎหมาย แต่เพื่อให้ความชัดเจนต่อคำวินจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่4/64” ประธานรัฐสภา กล่าว

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการทำประชามติ ซึ่งเป็นเรื่องของประชาชน ทั้งงบประมาณทำประชามติ ความสำเร็จของรัฐธรรมนูญที่ต้องการแก้ไข ทั้งหมดเป็นเรื่องของประชาชน เพราะฉนั้นตนได้ทำหน้าที่ของตนไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและข้อบังคับแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ที่จะต้องวินิจฉัยว่าจะเห็นตามญัตติหรือไม่ เพื่อความชัดเจนที่จะต้องเดินไปข้างหน้า เพื่อไปแล้วไม่ล้ม ไปแล้วไม่เสียของ ไปแล้วไม่เสียงบประมาณ ไม่เสียเวลาของประชาชนโดยไม่จำเป็น

จากนั้นเวลา 18.10 น. เป็นการลงมติเห็นชอบ 233 ไม่เห็นด้วย 103 งดออกเสียง 170 ไม่เห็นด้วยไม่ จึงถือว่าที่ประชุมมีมติให้รัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน