ปลัดมท. นำทีมมหาดไทย 14 จังหวัดภาคใต้ สนองแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เดินหน้าโค้ชชิ่ง “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” ย้ำ ชิ้นงานต้องดีกว่าเก่า และดีที่สุดของโลก

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2567 ที่โรงแรมดีวาน่า พลาซ่า กระบี่อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทผ้าและงานหัตถกรรม กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ช่างทอผ้าและงานหัตถกรรม (Coaching) ผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” และงานหัตถกรรม จุดดำเนินการที่ 1 จ.กระบี่

โดยมีนายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นางอรจิรา ศิริมงคล อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน นางชณิสา หาญภักดีปฏิมา ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย เจ้าของแบรนด์ผ้าไทย THEATRE และ WISHARAWISH บุคลากรด้านการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมอบรม ร่วมงานจำนวนมาก

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่กิจกรรม Coaching ผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” ถูกจัดขึ้นครั้งแรกที่ จ.กระบี่ ซึ่งจะมีอายุครบ 152 ปี การสถาปนาชื่อจังหวัดโดยล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีนี้

และประการที่เป็นมงคลยิ่ง คือ จ.กระบี่ เป็นจังหวัดแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างจังหวัด ในการทรงประกอบพิธีเปิดศาลากลางจังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดแรกในรัชกาล ภายหลังเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ และยังเป็นจังหวัดที่มีวัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) เป็นวัดเนื่องในรัชกาลอีกด้วย

งานหัตถศิลป์หัตถกรรมไทย ตลอดจนถึงอาหาร ประเพณี วัฒนธรรม เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่ง UNESCO ยกย่องว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าต่อมวลมนุษยชาติ และได้มีการพิจารณาประกาศขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติในทุกปี

ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จับต้องไม่ได้ คือ ภูมิปัญญา แต่สิ่งที่จับต้องได้ คือ ชิ้นงานที่เราสามารถแปลงเป็นรูปธรรมให้หลากหลาย เป็นที่ถูกอกถูกใจประชาชนผู้บริโภคได้ ดังพระราชดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทย เพื่อให้รายได้กลับสู่ชุมชน ด้วยการส่งเสริมและกระตุ้นผ้าไทยให้ทันสมัยสู่สากล เป็นที่นิยมในทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกาส

ซึ่งนับตั้งแต่พระองค์พระราชทานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ทำให้ประชาชนมีรายได้จากการจำหน่ายผ้าทั้งประเทศแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท โดยข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ผู้เปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรีของพื้นที่ เป็นผู้นำที่มีความสำคัญที่สุด ที่ต้องมี passion มีความเชื่อมั่น งานจึงจะสนุกสนานและยั่งยืน

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานที่มุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริการส่งเสริมผ้าไทยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ซึ่งผ้าไทยมีนัยสำคัญว่า เป็นผ้าที่คนไทยรับ Knowhow มาจากบรรพบุรุษ และสามารถสร้างสรรค์ต่อยอดทำขึ้นมาเองได้ ทั้งผ้าบาติก ผ้ายกดอก ผ้ามัดหมี่ ผ้าแพรวา ผ้าปัก กระเป๋าตะกร้าย่านลิเภา ใยกัญชง งานจักสานต่างๆ

โดยพระองค์ท่านได้พระราชทานแนวพระดำริในเรื่องของความยั่งยืนของงานหัตถศิลป์หัตถกรรมไทยไว้ว่า “ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ปู่ ย่า ตา ยาย ต้องถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่” ซึ่งครอบครัวน้องลูกหม่อน อายุ 9 ขวบ ชาวอำเภอเมืองสงขลา จ.สงขลา เป็นตัวอย่างของการน้อมนำพระดำริดังกล่าวถ่ายทอดภูมิปัญญาทอผ้าสู่รุ่นหลาน

จึงเป็นหน้าที่ของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยนับเนื่องแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ พัฒนาการ พัฒนากร ต้องขยันลงไปในพื้นที่ ไปพบปะพูดคุยสื่อสาร เอาใจใส่ คลุกคลีตีโมง ผลักดันช่วยเหลือ ที่ต้องช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้พี่น้องผู้ประกอบการมีความขยัน ฝึกปรือฝีมือในการผลิตชิ้นงานให้ดี เพื่อทำให้มีงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่เพิ่มพูน ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยชาวปักษ์ใต้มากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ นอกจากเป็นอาวุธลับที่ทำให้พวกเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผ้าไทยจากเดิมไปถึงทางตันแล้ว แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ท่านทรงชี้ทางสว่างให้พวกเราว่า ผ้าไทยสามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกยุคสมัย

ถ้าเรารู้จักออกแบบลวดลาย รู้จักใช้สี รู้จักรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการผลิตชิ้นงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รู้จักในการตัดเย็บเสื้อผ้า รู้จักในการถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวอัตลักษณ์ ให้คนรู้จักที่มาที่ไปของผ้าและผลิตภัณฑ์ และต้องมีการ matching วัตถุดิบ ทั้งผ้าไหมดีๆ ผ้าฝ้ายดีๆ

ถ้าเราสามารถทำให้พี่น้องภาคใต้อุดหนุนผลิตภัณฑ์จากจังหวัดต่างๆ มาพัฒนา เช่น ไหม นครราชสีมา คราม สกลนคร ก็จะทำให้เกิดการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ในประเทศ เม็ดเงินก็จะหมุนเวียนเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หากเราเชื่อและนำไปปรับปรุงพัฒนาศักยภาพตนเอง ชีวิตก็จะดีขึ้น ต้องยึดคติที่ว่า “เกิดเป็นคนต้องเปิดใจให้กว้าง” รับสิ่งใหม่เข้ามาใช้กับชิ้นงานตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความงดงามทางศิลปะและทางอารมณ์ เช่น ลายสิริวชิราภรณ์ เราก็สามารถหยิบเลือกเอาบางลวดลายในลายดังกล่าว มาผสมผสานกับลายอัตลักษณ์ดั้งเดิมของเราก็ได้ เพื่อให้เกิดลวดลายใหม่ๆ

เพราะเดิมเรามีแต่ผ้าไทยลวดลายตายตัว ไม่มีลวดลายใหม่ ไม่มีชิ้นงานใหม่ๆ เมื่อมันเดิมๆ ขายไปก็ไม่มีใครซื้อ งานแฟชั่นต้องมีของใหม่ๆ ต้องมีของแปลกๆ มาจำหน่าย เปลี่ยนแปลงปรับปรุง หลากหลายสี หลายหลายลวดลาย หลากหลายขนาด เพราะธรรมชาติของคนมักจะชอบของใหม่ๆ ของแปลกตา ที่ยังไม่มี จึงขอให้มั่นใจและพัฒนาตนเองต่อไป

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา คือ ต้องมีการประกวด ที่จะเป็นเครื่องกระตุ้น เพื่อให้ได้ชิ้นงานดีๆ จนทำให้ชิ้นงานเป็นที่ต้องการของตลาด ของผู้บริโภคอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้มีการประกวด 2 รายการ คือ 1.การประกวดสุดยอดผ้าจังหวัด โดยสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดร่วมกับทุกจังหวัด

โดยสามารถส่งผ้าเข้าประกวดภายในวันที่ 10 พ.ค. 67 ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ซึ่งผืนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของแต่ละจังหวัด จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2567

และ 2.การประกวดผ้าลายสิริวชิราภรณ์และงานหัตถกรรม รับสมัครระหว่าง 1 มิ.ย. – 15 ส.ค. 67 ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ 878 อำเภอ และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่พระองค์ทรงช่วยทำให้พวกเราชาวมหาดไทย ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ได้เป็นอย่างดี เพราะภารกิจการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข มีเป็นจำนวนมาก คนมหาดไทยมีหน้าที่ทำให้ทุกพื้นที่เป็นหมู่บ้านยั่งยืน ควบคู่การทำให้เกิด Sustainable Fashion

ขอให้พวกเราทุกคนภาคภูมิใจว่า 1.ได้สนองพระปณิธานในการรักษาภูมิปัญญาผ้าไทยให้คงอยู่ 2.ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชน 3.ทำให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนด้านเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพราะดีมานด์ความต้องการของผู้บริโภคจะส่งผลให้เกิดซัพพลายที่ต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น

“เรื่องที่สำคัญอีกประการ คือ แกนกลางของการขับเคลื่อนอยู่ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเพียรพยายามขับเคลื่อนผ่านกลไกภาคราชการ เพราะเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ “ประเทศชาติมั่นคง” มั่นคงทางเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ความมั่นคงของชีวิต ครอบครัวประชาชน ประเทศชาติ และโลก

ควบคู่กับ “ประชาชนมีความสุข” มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเอง นำผลงานดี ๆ ของประชาชนไปสู่สังคม และช่วยกันอุดหนุนสวมใส่ เพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มพูน และถ่ายทอดสิ่งที่ดี นั่นหมายความว่า “ต้องดีกว่าเก่า” และ “ดีที่สุดของโลก” ด้วย “Sustainable Fashion” อันจะส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน