“หลวงปู่อำคา ถาวโร” หรือ “พระครูอดุลพัชราภรณ์” เจ้าอาวาสวัดประชานิมิต อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอวิเชียรบุรี เป็นพระนักพัฒนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย
ปัจจุบัน สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71
เดิมชื่อ อำคา หอมมาลา เกิดเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2470 ตรงกับวันเสาร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ณ บ้านเลขที่ 97 หมู่ 8 ต.หนองพลวง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2490 ที่วัดหันห้วยทราย ต.หันห้วยทราย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา โดยมี พระครูวิโรจนคุณ วัดหันห้วยทราย ต.หันห้วยทราย เป็นพระอุปัชณาย์ ได้รับฉายาว่า ถาวโร
หลังอุปสมบทมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักศาสนศึกษาวัดสวัสดี สำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น เมื่อปีพ.ศ.2494
หลังจากนั้นเดินทางกลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง และเมื่อวัดหนองค่าย ต.หนองค่าย อ.ประทาย ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้ท่านมาจำพรรษา และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสพร้อมกับได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบล เขต 2 อ.ประทาย
พ.ศ.2502 ออกเดินธุดงค์ผ่านดงพญาเย็น มายัง อ.วิเชียรบุรี และอยู่จำพรรษาที่วัดหนองสองห้อง (ชื่อเดิมของวัดประชานิมิต)
ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2507 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าโรง อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ พ.ศ.2518 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประชานิมิต
พ.ศ.2518 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอวิเชียรบุรี
พ.ศ.2550 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอวิเชียรบุรี
พระครูอดุลพัชราภรณ์ เป็นพระเถระผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
งานการศึกษา ท่านให้ความสำคัญกับการศึกษาของพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากมโนปณิธานของท่านว่า ท่านไม่ได้เรียนสูง จบเพียงนักธรรมชั้นเอก แต่ขอให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เล่าเรียนอย่างเต็มความสามารถที่จะเรียนได้ จึงได้เปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม บาลี และแผนกสามัญศึกษา และส่งเสริมสนับสนุนให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โท เอก อย่าง ต่อเนื่อง
งานปกครอง ท่านเป็นพระเถระผู้มีเมตตาสูงยิ่ง ได้ใช้กุศโลบายในการปกครองพระภิกษุ-สามเณร คือ การปกครองโดยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ปกครองแบบพ่อปกครองลูก ท่านดำรงตนอยู่ในพรหมวิหารธรรมทั้ง 4 ประการ และประพฤติตนตามหลักของครูที่ดี ข้อวัตรปฏิบัติของท่านนั้นเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนผู้พบเห็น จนได้รับการถวายปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพระพุทธศาสนา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปีพ.ศ.2554
การทุ่มเททำงานของท่านตลอดระยะ เวลา 66 พรรษา ของท่านที่ดำรงเพศบรรพชิต ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนผู้เคารพศรัทธาในตัวของท่าน
หลวงปู่มักจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า “ความเป็นสิริมงคล คุณงามความดีต่างๆ นั้น ต้องเกิดจากตัวเราเองก่อน ถ้าหากเราทำดีแล้ว พระก็จะอยู่กับตัวเรา ความดีก็จะเกิดกับตัวเรา แล้วเราจะได้รับผลของการทำดีนั้น แต่ถ้าหากเราทำชั่ว พระก็จะไม่อยู่กับเรา ความไม่ดีก็จะเกิดกับตัวเรา เราก็จะต้องได้รับผลของความชั่วนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”