พระพุทธรูป ภปร และพระกริ่ง ภปร วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ.2508

หนังสือ ‘จาตุรงค มงคล’ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยเสด็จ พระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในมหามงคลสมัยพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ 29 สิงหาคม 2508 ตั้งแต่หน้า 203-204 และหน้า 206-207 มีใจความว่า …

%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%9a%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a8%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3_opt

“วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2508 เวลา 16.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทรงประเคนผ้าไตรแก่สมเด็จพระราชาคณะพร้อมพระสงฆ์ที่มาในพิธีพุทธาภิเษกทั้งหมดแล้วเฉพาะสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ 10 รูป ที่เจริญพระพุทธมนต์ ออกไปครองผ้าแล้ว กลับมานั่งยังอาสนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สมเด็จพระราชาคณะ ประธานคณะสงฆ์ถวายศีลจบ พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำเทพมนต์แล้วพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์และลงคาถาในแผ่นโลหะที่จะผสมหล่อพระพุทธรูปจบแล้วได้เวลาพระฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดเทียนทองทรงตั้งสติสัตยาธิษฐานแล้วถวายเทียนทองนั้นแด่สมเด็จพระราชาคณะ ผู้เป็นประธานสงฆ์จุดเทียนชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตรบัณเฑาะว์และดุริยางค์ พระสงฆ์เจริญคาถา..”

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จฯ พระภาวนาจารย์และพระเกจิ อาจารย์หมุนเวียนกันนั่งปลุกเสกโลหะที่จะใช้หล่อพระตลอดทั้งคืนเช่นเดียวกันกับวันแรก

“วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ไปยังปะรำพิธีมณฑล หน้าตึกมนุษนาควิทยาทาน ในบริเวณโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงจุดเทียนชัยสักการบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว เสด็จฯ ไปยังเบ้าหล่อพระทรงหย่อนทองสำหรับหล่อ “พระพุทธรูป ภปร” จนครบ 32 เตา ขณะนั้นพระสงฆ์ในวิหารและพระคณาจารย์ที่นั่งอยู่รอบพิธีมณฑลทั้ง 8 ทิศ เจริญชัยมงคลคาถาชาวพนักงานประโคม ฆ้องชัย สังข์แตรดุริยางค์ พระราชครูวามเทพมุนีรดน้ำสังข์เบ้าที่หล่อพระทุกเบ้าแล้ว จากนั้นเสด็จฯ ไปประกอบพิธียัง พระเจดีย์หลังพระอุโบสถพระพุทธชินสีห์”

ที่กล่าวมาแล้ว เป็นความเป็นมาของการสร้างพระพุทธรูป ภปร ปี 2508 และพระกริ่ง ภปร วัดบวรนิเวศวิหาร ปี พ.ศ.2508 วัตถุมงคลอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

4

พระบูชา ภปร 2508-9 นิ้ว ไม่รมดำ

เนื่องจากการจัดสร้างครั้งนี้ เป็นพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยหลังจากที่พระองค์ทรงนำพระพุทธรูป ภปร วัดเทวสังฆาราม ที่จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2506 ไปพระราชทานแก่หน่วยทหาร-ตำรวจและหน่วยงานราชการอื่นๆ อีกหลายแห่งทำให้ประชาชนทั่วไปต่างมีความต้องการได้ไว้ บูชาเป็นจำนวนมาก พระองค์ได้มีพระราชดำริว่าน่าจะมีการสร้างขึ้นมาอีก ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อสนองความต้องการของผู้ศรัทธา

%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%87-%e0%b8%a0%e0%b8%9b%e0%b8%a32508%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%9a%e0%b8%a7%e0%b8%a3-1

พระกริ่ง ภปร 2508 วัดบวร

ดังนั้น มีการตั้งคณะกรรมการจัดสร้างพระพุทธรูป ภปร ขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ โดยจัดเป็นงานใหญ่ระดับชาติในเดือนสิงหาคม 2508 โดยพระพุทธรูปที่จัดสร้างครั้งนี้คณะกรรมการต้องการให้จัดสร้างตามแบบพระพุทธรูป ภปร รุ่นพระกฐินต้น วัดเทวสังฆาราม

แต่เมื่อคณะกรรมการ ได้นำพระพุทธรูปที่ออกแบบ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบให้ถูกต้องเหมาะสมกับพระพุทธลักษณะยิ่งขึ้น ด้วยพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์มีการแก้ไขพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย

1-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%87-%e0%b8%a0%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87_opt-1

พระกริ่ง ภปร สร้างครั้งแรก 2508

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้พระราชทานภาษิตสำหรับจารึกไว้ที่บานด้านหน้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาติว่า “ทยฺยชาติยา สามคฺคิยํ สติสญฺชานเนน โภชิสิยํ รกฺขนฺติ” แปลว่า “คนชาติไทยจะรักษาความเป็นไทยอยู่ได้ ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี”

ส่วนที่ฐานด้านหลังจารึกว่า “เสด็จพระราชดำเนินในพิธีหล่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๘” โดยมอบให้ ศ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ นายช่างศิลป์ กรมศิลปากรปั้นหุ่นขึ้นใหม่ โดยอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยโดยตลอด

สำหรับ พระพุทธรูป ภปร มีขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว และ 5 นิ้ว

พระพุทธรูป ภปร ขนาด 9 นิ้ว เนื้อพระมีความหนาและปรากฏตะปูยึดพิมพ์ฝังอยู่ในเนื้อส่วนภายในองค์พระปรากฏรอยดินไทยและทรายที่ขึ้นหุ่นพระ เป็นวัตถุมงคลบูชาที่ได้รับความนิยมบูชา ด้วยราคาสูงปัจจุบันหาได้ยาก

ส่วนพระ พุทธรูป ภปร ขนาด 5 นิ้ว สร้างด้วยกรรมวิธีแบบหล่อโบราณดินไทยเช่นเดียวกัน ชนวนที่ฐานด้านล่างทั้งซ้ายขวาและด้านหลังเป็นเนื้อปูนออกมา เป็นร่องรอยของชนวนสำหรับโลหะให้ไหลไปตามแม่พิมพ์องค์พระที่เรียกกันว่า สามขา และที่สำคัญมีตัวเลขอารบิกตอกอยู่ที่ผนังด้านใน ตรงหน้าองค์พระใต้ตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร โดยตอกเลขในระดับหลักพันและมีตัวเลข 4 ตัวเป็นเลขลำดับองค์พระ

ทั้งนี้ การสร้างพระพุทธรูป ภปร ขนาด 5 นิ้ว ในแต่ละครั้งขึ้นใหม่ มีจำนวนไม่เกิน 10,000 องค์ และหลังสร้างเพิ่มเป็นครั้งที่ 3 จะไม่มีการตอกลำดับครั้ง พร้อมลำดับองค์พระอีก

3

พระบูชา ภปร 2508-5นิ้วหนังไก่

ขณะเดียวกัน พระพุทธรูป ภปร ขนาดหนักตัก 5 นิ้ว ที่สร้างเพิ่มตั้งแต่ครั้งที่ 1-3 ได้ถูกเรียกขานจากบรรดาเซียนพระว่า ‘รุ่นหนังไก่’ เนื่องจากผิวพระด้านในหลังจากล้างปูนออก มีลักษณะย่นคล้ายหนังไก่

พระกริ่ง ภปร รุ่นนี้ จัดสร้างด้วยวิธีการปั๊มโดยนำชนวนจากการเททองหล่อพระพุทธรูป ภปร ทั้งสองขนาดมาปั๊มเป็นองค์พระ จัดสร้างเป็น 3 เนื้อ คือ 1.เนื้อทองคำ จัดสร้างเพียง 32 องค์ 2.เนื้อทองแดงรมดำ จัดสร้างประมาณ 10,000 องค์ และ 3.เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด

2

พระบูชา ภปร-สภาปุ่ม

พระกริ่ง ภปร รุ่นนี้ มีการสร้างขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกสร้างเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2508 ในคราวพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา และงาน สมโภชพระเจดีย์ทอง

ครั้งที่สอง สร้างเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2515 ในพิธีพุทธาภิเษก-มังคลาภิเษกวัตถุมงคลอนุสรณ์ ในงาน “วชิรวงศานุสรณ์” (อนุสรณ์ 100 ปี พระชนมายุสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัธยาจารย์) ทั้งสองพิธีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีทั้งสองครั้งเช่นกัน

การพิจารณา “พระกริ่ง ภปร พ.ศ.2508” ที่สร้างขึ้น ครั้งแรกและครั้งที่สอง แตกต่างกันดังนี้

1.ให้สังเกตที่ใต้ฐานองค์พระหากเป็น “รุ่นแรก” ที่สร้างเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2508 จะมี “รอยตะไบที่หยาบมากถึงรอยตะไบแผ่วๆ” ส่วนรุ่นที่สร้าง “ครั้งที่สอง” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ใต้ฐานจะเรียบเพราะมีการปัดแต่งทำให้เห็นรอยอุดกริ่งชัดเจน

2.น้ำยาที่ใช้ “รมดำ” องค์พระ “รุ่นแรก” จะออกสีน้ำตาลอมแดงส่วน “รุ่นสอง” จะออกสีดำชัดเจนและบางองค์ออกสีน้ำเงินยวงหรือสีปีกแมงทับก็มี แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นการรมดำที่ยังสดใหม่อยู่นั่นเอง

จึงขอให้ทุกท่านนำหลักเกณฑ์นี้ไปพิจารณากันเองเพราะยังไม่มีผู้ใดเปิดเผยมาก่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน