2 พี่น้องสู้ชีวิต ดูแลยายป่วยหนัก รับจ้างแบกของวัน 20 บาท อาศัยข้าวโรงเรียนประทังชีวิต ต้องกินน้ำจากลำห้วย บางวันก็ต้องอดข้าว ค้างค่าไฟ 60 บาท จนถูกตัดไฟ ห้องน้ำก็ไม่มี แม่ทิ้งไม่กลับมาอีกเลย

2 พี่น้องสู้ชีวิต วันที่ 25 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มียายวัย 61 ปี ป่วยเป็นมะเร็ง และไตวาย อยู่กับหลานสาวและหลานชายอายุ 13 กับ 11 ขวบ โดยหลานทั้ง 2 คน ต้องรับจ้างแบกของวันละ 20 บาท กับเก็บผลไม้ป่าไปขายหาเงินไปเรียนหนังสือ ปัจจุบันต้องอาศัยข้าวจากโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนประทังชีวิต ส่วนคุณหมอต้องเรี่ยไรเงินให้ใช้เป็นค่ารถเดินทางไปรักษาตัว อยากได้สุดคือ ไฟฟ้าที่ถูกตัด เพราะค้างค่าไฟ 60 บาท ห้องน้ำและน้ำประปา ไม่ต้องเสี่ยงปลดทุกข์กลางไร่มันสำปะหลัง

โดยเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยเฟซบุ๊กของทีมแพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลประจำน้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดย นพ.พชร ตังค์วัฒนา และทีมเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลประจำอำเภอน้ำยืน ได้โพตส์ข้อความว่า “ร่วมกันช่วยเหลือบริจาคปัจจัยให้ น้องสองคนที่ดูแลยายที่ป่วยด้วยโรคไตเรื้อรัง อาศัยอยู่ที่บ้านจันลา ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน น้องสองคนในวัย 7-8 ขวบ อยู่กับยายเพียงลำพัง”

วันนี้พายายมา ร.พ. ยายต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่ ร.พ.ศูนย์ในตัวจังหวัด สอบถามน้องเด็กผู้หญิงบอกว่า มีเงินเพียง 40 บาท ไม่มีญาติผู้ใหญ่ดูแล อยู่บ้านดูแลยายและน้อง วัยเพียงนี้ทั้งเรียนทั้งทำงานทั้งดูแลยายที่ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ทั้งดูแลน้อง หากการแชร์โพสนี้เป็นประโยชน์ ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยเหลือน้องๆ และยายได้ คงเป็นบุญอันใหญ่ยิ่งค่ะ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก อนุโมทนาบุญกับทุกท่านในครั้งนี้ด้วยค่ะ

หลังจากที่มีการโพสต์เรื่องดังกล่าวออกมา ทำให้มีผู้ชื่นชมแพทย์ พยาบาล เป็นจำนวนมาก จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของยายหลานทั้ง 3 ชีวิต อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 157 บ้านจันลา หมู่ 10 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พบเป็นบ้านไม้เก่าชั้นเดียวยกพื้นสูงยาว 6X 6 เมตร ทั้งบ้านมีห้องนอนเพียงห้องเดียว ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่าง

ส่วนห้องนอนที่มีห้องเดียวนั้น นางกอง สงคราม อายุ 61 ปี ผู้เป็นยายให้ ด.ญ.วัทนพร หรือน้องแก้ว แก้วพิทักษ์ อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 นอนตามลำพัง เนื่องจากเริ่มโตเป็นสาวแล้ว ส่วนในห้องนอนก็มีเพียงผ้าผืนบางๆ เก่าๆ เป็นทั้งผ้าใช้ปูนอนและเป็นผ้าห่มไปในตัว โดยมีหมอนเก่า 1 ใบใช้หนุนหัว ไม่มีแม้กระทั่งมุ้ง มีเพียงตู้ไม้เก่าๆ ใช้เก็บหนังสือเรียนของน้องแก้ว

ส่วนลานโล่งของบ้าน นางกอง ก็ใช้อาศัยนอนกับ ด.ช.วิรชา หรือน้องเป๊ก แก้วพิทักษ์ อายุ 11 ปี หลานชาย โดยชีวิตที่ผ่านมา พี่น้องทั้งรู่ต้องคอยดูแลหาอาหารและหารายได้มาเลี้ยงดูตัวเองและยายที่มีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกและโรคไตวาย

นางกอง เล่าว่า หลานทั้ง 2 คน เป็นลูกของลูกสาวคนเล็ก หลังที่ลูกสาวคลอดน้องเป๊กลูกชายคนเล็ก ก็บอกจะไปหางานทำใน กทม. เพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว โดยช่วงปีแรกๆ ได้ส่งเงินมาเลี้ยงดูแม่กับหลานทั้ง 2 คน กระทั่งหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้ติดต่อกลับมาที่บ้านเลย ส่วนลูกชายคนโต ปัจจุบันก็ไปทำงานมีครอบครัวอยู่ในตัวอำเภอและไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว

เมื่อตนล้มป่วยด้วยโรคดังกล่าว ก็ไม่สามารถทำงานได้ หลานทั้ง 2 คนจึงต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินมาใช้จ่ายในการไปโรงเรียนขยายโอกาสประจำหมู่บ้านจันลา โดยวันที่หยุดเรียนเด็กทั้งคู่ จะไปรับจ้างแบกของในหมู่บ้านได้วันละ 20 บาท หรือเก็บลูกต้นยางที่เป็นผลไม้ป่ามาขายกระสอบละ 140 บาท หรือรับจ้างเก็บข้าวโพดตามฤดูกาล รวมทั้งบางวันก็ไม่ได้ไปโรงเรียน หากมีคนมาว่าจ้างให้ไปทำงาน เพราะต้องหาเงินใช้จ่ายเลี้ยงดูยายและเก็บไว้เป็นเงินไปโรงเรียนในแต่ละอาทิตย์

ส่วนข้าวนางกอง ก็ได้รับความเมตตาจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาใช้หุงกินกัน 3 ชีวิต สำหรับกับข้าวเด็กทั้งคู่ก็จะไปหาช้อนปลา ช้อนกุ้ง ตามลำห้วย หรือเก็บผักตามธรรมชาติมากิน แต่บางวันหาไม่ได้หรือไม่มีข้าวสาร ก็ต้องอด

แต่โชคดีที่เรื่องราวของ 3 ชีวิตยายหลานทราบถึงโรงเรียน คณะครูโรงเรียนบ้านจันลาได้นำข้าวจากโครงการอาหารกลางวันที่เหลือให้ 3 ชีวิตไว้กินปะทังความหิว โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าวสารที่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน มาใช้หุงกินวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ถูกคนเข้ามาขโมยเอาไปทั้งหมด

เมื่อเล่าถึงเรื่องข้าวสารที่ยายกองไปเดินขอเรี่ยไรจากเพื่อนบ้าน แต่ถูกคนใจบาปมาขโมยเอาไป ทำให้น้องแก้ว ถึงกับหลั่งน้ำตา ที่โชคชะตาถูกโจรมาซ้ำเติม น้องแก้วยังเล่าด้วยว่า ตลอดที่ผ่านมา ตนและน้องรวมทั้งยาย ต้องใช้ชีวิตแบบตามมีตามเกิด และบางวันก็ไม่ได้กินข้าว และล่าสุดที่บ้านค้างค่าไฟ 60 บาท ไม่มีปัญญาจ่าย ก็ต้องถูกตัดไฟ ทุกวันนี้ต้องจุดเทียนอยู่ และอยากเรียนเป็นทหาร เพื่อเป็นคนเข้มแข็งดูแลครอบครัวได้

สำหรับ ด.ช.วิรชา ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.6 ช่วงนี้ไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะเท้าถูกใบหญ้าคาบาดและแผลเกิดการอักเสบเป็นหนอง เนื่องจากหญ้าคาที่บาดมียาฆ่าหญ้า ทำให้เดินลำบาก โดยน้องเป็ก บอกว่า ยินดีออกไปทำงานแบกสิ่งของ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวและใช้เป็นเงินไปโรงเรียน ซึ่งโตขึ้นต้องการบวชเป็นพระ เพื่อทดแทนพระคุณที่ยายเลี้ยงดูตัวเองมา

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามสิ่งที่อยากได้ในขณะนี้ ทั้งยายหลานบอกต้องการไฟฟ้า น้ำประปา และห้องน้ำ เพราะที่ผ่านมาต้องใช้วิธีวิ่งไปขุดหลุมในป่าข้าวโพด หรือตามริมลำห้วย เพื่อถ่ายทุกข์ ช่วงกลางคืนจึงกลัวถูกสัตว์มีพิษกัด สำหรับน้ำประปานั้น ที่ผ่านมาก็อาศัยรองน้ำใช้จากน้ำฝน หรือไปตักเอาน้ำจากลำห้วยจันลา แต่ระยะหลังน่าจะมีสารเคมีจากการทำเกษตรกรรม เมื่อนำมาอาบหรือดื่มกิน ก็จะมีอาการเป็นผื่นคันเป็นบางครั้ง จึงกลัวได้รับผลกระทบจากน้ำที่นำมาใช้กินและอาบ และอยากมีค่ารถใช้พายายไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อรักษาโรคไตวายด้วย

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงเบี้ยยังชีพคนชรา และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งนางกอง ยังไม่ได้รับจากหน่วยงานท้องถิ่น ได้รับคำชี้แจงจาก ส.อบต.ประจำหมู่บ้าน จะไปตรวจสอบกับองค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ นางกองได้ไปทำเรื่องขอรับเบี้ยยังชีพและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามสิทธิแล้วหรือยัง เพื่อจะได้รับสิทธินำเงินมาใช้จ่ายได้ต่อไปด้วย

สำหรับผู้ใจบุญท่านใดต้องการช่วยเหลือ 3 ชีวิตยายหลาน สามารถบริจาคเงินได้ที่หมายเลขบัญชี 02-0291-6949-23 ธนาคารออมสิน สาขาอำเภอน้ำยืน ชื่อบัญชี นางกอง สงคราม หรือ นายทวีศักดิ์ บุญฤทธิ์ (ครูประจำชั้น) หรือ นายสมชาติ พรหมดี (ส.อบต.ประจำหมู่บ้าน) และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตของ 3 ยายหลานสอบถามได้ที่ นายพินิจ สีหะนันท์ คุณครูที่นำเรื่องของเด็กหญิงวัทนพร หรือน้องแก้ว ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 094-512-1968


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน