‘ธนาธร’ เดือด กกต. ตอบไม่ได้ ‘ผมผิดตรงไหน’ เตือนวินิจฉัยผิดเจอคุก

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำหลักฐานเอกสารเข้าชี้แจงต่อ กกต. กรณีถูกตั้งข้อกล่าวหาถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด

นายธนาธร กล่าวว่า บรรยากาศในการประชุม มีบางช่วงเป็นไปอย่างตึงเครียดและผ่อนคลาย ตนรู้สึกว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เพราะแม้แต่คำถามพื้นฐานต่างๆ ว่า ตนผิดตรงไหน เอกสารที่ชี้แจงไปแล้วมีตรงไหนที่ กกต.ไม่เชื่อ ตรงไหนที่ กกต.เห็นว่าพวกเรากระทำผิด คำถามง่ายๆ แค่นี้ไม่สามารถตอบได้ ไม่สามารถชี้แจงได้ ทำให้เชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง

ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนไต่สวนของ กกต.หลังมีมติแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 เม.ย. แต่เราตั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวน วันนี้การตั้งข้อกล่าวหาของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สาเหตุเพราะมีมติตั้งข้อกล่าวหาในวันที่ 23 เม.ย. โดยไม่เคยเปิดโอกาสให้นายธนาธร หรือผู้เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง

มีเพียงเอกสาร 1 ฉบับส่งไปที่บ้านของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้รับโอนหุ้น เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ประทับตราอีเอ็มเอส เวลา 13.45 น. แต่ให้มาชี้แจงเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้ววันที่ 23 เม.ย. ตอนเช้าก็มีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งการตัดสินมีแต่เพียงคำร้องที่คัดลอกข่าวมาจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งทั้งหมด อย่างนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้กล่าวหา

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า กระบวนการตั้งข้อกล่าวหาขัดกับกระบวนการพิจารณาหลักการทางกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้นายธนาธรชี้แจง ในบันทึกข้อกล่าวหาเขียนไว้เพียง 3-4 บรรทัด บอกว่าไปตรวจสอบจาก บอจ.5 มาแล้ว แต่ไม่บอกว่าวันที่เท่าไหร่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบนายธนาธรถือหุ้นอยู่ เราก็ถามว่าคุณไปตรวจ บอจ.5 วันที่เท่าไหร่ ตรวจแล้วรู้ได้อย่างไร รู้ได้ทันทีเลยหรือว่านายธนาธรถือหุ้น เพราะบอจ.5 ไม่ได้เป็นเอกสารหลักฐานว่าหุ้นโอนแล้ว แต่เป็นเพียงรูปแบบขั้นตอนเท่านั้น

“ถ้าหาก กกต.เห็น บอจ. 5 ปุ๊บ รู้ปั๊บว่าคุณธนาธรถือหุ้น แสดงว่า กกต.เชื่อไปตามที่ผู้ร้องกล่าวทั้งหมด โดยยังไม่ได้ถามผู้ถูกร้อง ผิดหลักกฎหมายชัดเจน เร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด คดีอื่นไม่รู้ว่าเร่งแบบนี้หรือไม่” นายปิยบุตร กล่าว

ขณะที่นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะผู้เสียหาย ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อ กกต. ทั้งกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่กำหนดโทษว่า ถ้า กกต.ใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีโทษอาญา จำคุก โทษปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพราะมีปัญหาจริงๆ กับกระบวนการตั้งข้อกล่าวหา

นายธนาธร กล่าวอีกว่า รายละเอียดที่ชี้แจงส่วนใหญ่อ้างอิงตามเอกสาร เราพูดคุยในรายละเอียดน้อยมาก เพราะอยูในเอกสาร สิ่งที่ทำให้การประชุมตึงเครียด เพราะเป็นเรื่องหลักการที่ถูกต้อง ซึ่ง กกต.ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้เลยว่า ตกลงตนผิดตรงไหน เอกสารตรงไหนผิด เพราะการโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมายหมายตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ดังนั้น หลังจากประชุมเสร็จ ตนจึงเชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุแรงจูงใจ ไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นมูลเหตุแรงจูงใจทางกาเมือง

นายธนาธร กล่าวต่อว่า มีใครมีหลักฐานเป็นอื่น มีใครมีหลักฐานโต้แย้งไหม ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีใครมีหลักฐานโต้แย้ง สิ่งที่ตนโต้แย้งไปได้ แปลว่าตนไม่ผิด จะเรียกร้องอะไรจากตนอีก วันนี้ไม่มีใครบอกว่าตนผิด มีแต่คนตั้งคำถามแล้วเอารายละเอียดเรื่องเล็กน้อยมาปั่นเป็นเรื่องใหญ๋โต ปั่นซ้ำปั่นซาก จนทำให้คนในสังคมเชื่อไปแล้วว่า ธนาธรผิดจริง ตนยังยืนว่าจะทำอะไร เอาหลักฐานมาพูดคุยกัน ตนเอาหลักฐานทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะแล้ว ใครคิดว่าหลักฐานตรงไหนผิดก็มาโต้แย้งกัน

ที่บอกว่าธนาธรน่าสงสัย เพราะตอบคำถามหลายครั้ง แต่เพราะพวกคุณถามหลายครั้ง ตนก็ต้องตอบหลายครั้ง เพราะมีสื่อบางสำนักเอาเรื่องนี้มาปั่นทุกวัน จนทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะประชาชนจะหลงผิด พูดเรื่องเท็จไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องจริง เราจึงต้องออกมาตอบโต้ ท่านควรจะต้องเอาไปถามคนที่ยังไม่เชื่อ ว่ามีหลักฐานอะไรที่จะเอามาหักล้างเอกสารของตนได้

ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า เรายื่นเอกสารไป 26 รายการ เป็นคำชี้แจงครบถ้วนทั้งหมด โดยมีประธานกรรมการไต่สวนชุดนี้ คือ พ.ต.ท.ปรีชา นาเมืองรักษ์ เราก็นั่งพูดคุยตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.ว่าทำไมถึงมีมติตั้งข้อกล่าวหา โดยที่เราไม่ได้ไปชี้แจง ประธานกรรมการไต่สวนก็เล่าให้ฟังว่า กกต.ตรวจสอบได้แต่ บอจ.5 ในเมื่อ บอจ.5 มีชื่ออยู่ เขาก็สงสัยว่าเป็นผู้ถือหุ้น ตนก็ถามกลับไปว่าแล้วทำไม กกต.ไม่เปิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 วรรค 3 หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมไม่เปิดดู

แล้วถ้าสงสัยว่าถือหุ้นจริงหรือไม่ ทำไมไม่เรียกไปถาม แต่กลับมีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งจะแจ้งข้อกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้ การขึ้นศาลหรือตำรวจตั้งข้อกล่าวหา ต้องมีองค์ประกอบความผิดและมีหลักฐานพอสมควร แต่นี่มีแค่ 3 บรรทัด บอกว่าตรวจจาก บอจ.แล้ว พบว่านายธนาธรถือหุ้น ถามว่าตรวจจากอะไร ถ้าตรวจจาก บอจ.แล้วตีขลุมว่าถือหุ้น ท่านวินิจฉัยผิด

ถ้าจงใจวินิจฉัยผิดคือ ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ หรือท่านไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ข้อเท็จจริง ทำไมไม่เรียกนายธนาธรไปถาม เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถ้าเรื่องนี้บานปลายไปจนถึงแขวนชื่อนายธนาธร หรือออกใบส้ม ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่มีอำนาจ แต่ถ้าเอากันถึงอย่างนั้น การตั้งข้อกล่าวหาและดุลพินิจโดยไม่ชอบครั้งนี้ จะส่งผลเสียหายร้ายแรง

“กกต. ทั้ง 7 ท่าน รับผิดชอบไหวหรือไม่ ท่านยังต้องดำรงอยู่ต่อไปในฐานะองค์กรอิสระที่ต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นธรรม อย่ากลัวแรงกดดัน ถ้ายืนอยู่บนกฎหมายและความยุติธรม คสช.เดี๋ยวก็ไป ผู้มีอำนาจปัจจุบัน เดี๋ยวก็ลงจากอำนาจแล้ว แต่ กกต.ต้องอยู่อีกนาน เรามั่นใจว่าเอกสารหลักฐานครบ แต่ กกต.ไปเอาคำร้องที่ลอกมาจากสำนักข่างแห่งหนึ่งทั้งดุ้น ปัญหาอยู่ที่ไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจงก่อนตั้งข้อกล่าวหา เวลามีคนเดินไปฟ้องศาลว่าใครทำผิดอาญา ศาลยังไต่สวนมูลฟ้อง หรือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษใคร เขาไม่ได้ตั้งข้อหล่าวหาเลย ต้องเรียกมาตรวจสอบ แต่นี่ฟังจากผู้ร้องเสร็จก็ตั้งข้อกล่าวหาเลย ทำได้อย่างไร ขัดกระบวนการทางกฎหมาย ความยุติธรรมคืออะไร”

“อยากให้ท่านจำลองตัวท่านเองว่าท่านถูกกระทำอยู่ตอนนี้ ลองให้ กกต.ชุดนี้ 7 คน วันหน้าโดนกรรมการชุดอื่นไต่สวนบ้าง แล้วตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยไม่เรียก กกต.ทั้ง 7 คนไปชี้แจง ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ วันไหนถ้าท่านโดนตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ เหมือนที่ตนกำลังจะไปแจ้ง 157 ถ้าป.ป.ช.ไม่เรียกท่านไปชี้แจง แล้วตั้งข้อกล่าวหาท่านเลย จะเป็นธรรมหรือไม่”

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า กกต.และเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เงินเดือนที่ท่านได้มาจากงบประมาณภาษีประชาชน ท่านไม่ได้รับเงินเดือนจากองค์กรของรัฐอื่น ถ้าดำเนินการด้วยความสุจริต กฎหมาย ความยุติธรรม จะเป็นเกราะคุ้มครองท่าน ท่านอย่ากังวลใจ ตัดสินใจด้วยความเป็นอิสระ ตามตัวบทกฎหมาย ถ้าเรื่องมันจบก็ต้องจบ อย่าดึงดันขึงขังลากกันไปให้ได้ ข้อกฎหมายไม่เข้า ข้อเท็จจริงก็ไม่เข้า อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบก็ไม่มี ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย

รวมถึงสื่อมวลชน ควรเป็นสื่อที่ตรวจสอบนักการเมือง ทั้งจากการเลือกตั้งและนักการเมือบจากรัฐประหารอย่างเท่าเทีมกัน ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด อย่าดันทุรัง อย่างนี้ไม่ใช่สื่อในความหมายของการตรวจสอบ แต่เป็นเรื่องการเอาชนะกันให้ได้ ไม่ชนะไม่เลิก นี่ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อ สื่อคือคนเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ปรากฏ ไม่ใช่พูดข้อเท็จทุกวันจนกลายเป็นจริง


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน