‘ปิยบุตร’ แจงยิบไทม์ไลน์ โอนหุ้นวี-ลัค ของ ‘ธนาธร’ ยันไร้มูล วอน กกต.พิจารณาหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย เชื่อไม่ตกม้าตาย แนะ ตีความกฎหมายจากการดำเนินกิจการสื่อจริง ย้ำอนาคตใหม่ไร้เจตนาล้มล้างอะไรทั้งสิ้น

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 เม.ย. ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) แถลงกรณีการถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ว่า นับตั้งแต่มีข่าวการโอนุ้น 22 มี.ค. นายธนาธรได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. แล้ว และถ้าใครเรียนวิชากฎหมายการโอนหุ้นและเห็นหลักฐานต่างๆ เหล่านี้จะพบว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรสามารถจบได้ทันที แต่ยังมีสื่อสำนักบางสำนักยังคงเผยแพร่ข่าวอย่างต่อเนื่องและชี้นำมากเรื่อยๆ เริ่มมีการพาดหัวข่าวทำให้เรื่องนี้เป็นการทุจริต คอร์รัปชั่น และการซุกหุ้น

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าข่าวแบบนี้ต้องการลดความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมของพรรคหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคอนาคตใหม่ได้คะแนน 6.3 ล้านเสียง และนายธนาธรประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากเราใช้มาตรฐานการตรวจสอบของสื่อสำนักนี้ กับนักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ นักการเมืองที่มาจากการรัฐประหารคงดีกว่านี้

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า เมื่อมีคนไปแจ้งคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคอนาคตใหม่รวมถึงนายธนาธร ได้เตรียมหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อกกต.ตามกระบวนการ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก กกต. และเห็นว่ามีการเผยแพร่ข่าวว่าสำนักงานกกต. อยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องนี้อยู่และบางสำนักได้เขียนข่าวขอให้กกต.มีมติให้ทันในวันที่ 9 พ.ค. ทำให้มีแรงกดดันไปที่กกต.มากขึ้น และสื่อสำนักนั้นยังรายงานโดยอ้างแหล่งข่าว กกต.ว่าวันนี้จะมีการประชุมของคณะกรรมการช่วยตรวจสอบที่กกต.ตั้งขึ้นมา และจะมีมติในวันนี้หรือวันที่ 23 เม.ย.นี้

นายปิยบุตรกล่าวว่า พรรคกังวลใจว่าการพิจารณาของกกต. อาจขัดกฎหมายที่การพิจารณาจะต้องรับฟังทุกฝ่าย ไม่ใช่การพิจารณาเพียงเอกสารคำร้องที่สื่อรายงานเพียงอย่างเดียว คงจะไม่เกิดความเป็นธรรม นอกจากนี้ ก่อนที่นายธนาธรจะเดินทางไปยุโรปได้เตรียมเอกสารและได้มอบอำนาจให้ตัวแทนทีมกฎหมายของพรรคไปยื่นเอกสารที่ กกต.และขอโอกาสเข้าไปชี้แจงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการประสานจาก กกต.ทำให้พรรคต้องเปิดแถลงข่าวในวันนี้

เกาะติดข่าวการเมืองข่าวเลือกตั้ง แค่กดเป็นเพื่อนกับไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายปิยบุตรยังกล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 ห้ามไม่ให้ผู้สมัคร ส.ส. ถือครองหุ้นในกิจการสื่อมวลชน รวมถึงเมื่อเป็นส.ส.แล้ว ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ห้ามถือครองหุ้นเฉพาะตอนที่ได้รับตำแหน่งส.ส.แล้ว ซึ่งตนมองว่าข้อห้ามควรมีตอนที่มีอำนาจแล้ว เพราะตอนเป็นผู้สมัครไม่มีใครทราบว่าจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ แต่เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ต้องปฏิบัติตาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เข้าไปครอบงำสื่อ ซึ่งนายธนาธรก็เตรียมตัวในเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี และขออย่าสับสนปนเปตามสื่อบางสำนักรายงาน ว่าการถือครองหุ้นเป็นการเข้าไปแข่งขันกับสัมปทานของรัฐ

โดยย้ำว่า การโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของนายธนาธร และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา ให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธรเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ซึ่งมีเอกสาร เช็คขีดคร่อมการชำระค่าหุ้น ใบหุ้น และตราสารโอนหุ้น ที่แสดงว่ามีการโอนหุ้นจริง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 ระบุว่าการโอนหุ้นจะมีผลสมบูรณ์ด้วยการลงลายมือชื่อของผู้โอน ผู้รับโอน และพยาน ซึ่งแสดงว่ามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว และในมาตรา 1129 วรรค 3 ระบุว่า หากจะให้การโอนหุ้นจะมีต่อบุคคลภายนอก จะต้องมีการจดแจ้งในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งการดำเนินการโอนหุ้นของนายธนาธร และภรรยา ไปยังนางสมพร ได้มีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. นายธนาธรจึงไม่ได้ถือหุ้นนี้อีกต่อไป

“แต่กรณีสื่อบางสำนักยังพยายามขุดคุ้ยและระบุว่า ในวันที่ 8 ม.ค. นายธนาธรไม่ได้ร่วมประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ข้อเท็จจริงคือ ในช่วงเช้านายธนาธรยังคงลงพื้นที่ในจ.บุรีรัมย์ และเดินทางกลับมากรุงเทพฯ ด้วยรถตู้ในช่วงบ่าย และมีหลักฐานใบเสร็จ easy pass ในการเดินทางในช่วงเวลา 15.00 น. และนายธนาธรมีภารกิจเดินทางสนามบินดอนเมืองต่อไปยังนครศรีธรรมราช ในวันที่ 9 ม.ค. ดังนั้นหลักฐานทั้งหมดนี้แสดงว่า ช่วงเช้าปราศรัยและช่วงบ่ายเดินทางกลับมาร่วมประชุม ข้อเท็จจริงนี้หวังว่าสื่อคงมีใจที่เป็นธรรมและกระจ่างชัด ไม่ควรที่จะตั้งข้อสงสัยอีก” นายปิยบุตรกล่าว

เลขาธิการ อนค. กล่าวว่า จากนั้นในวันที่ 14 ม.ค. 2562 นางสมพรได้โอนหุ้นให้กับนายทวีและนายปิติ ซึ่งเป็นหลานชายของนางสมพร เพื่อต้องการให้เข้ามาดูแลกิจการและติดตามหนี้สินจากลูกหนี้ค้างชำระ ตามที่ฝ่ายบัญชีของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด แนะนำว่า หนี้ค้างชำระน่าจะมีการติดตามทวงคืนได้ ยังไม่ให้ปิดบริษัท ทำให้ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด กลับมามีผู้ถือหุ้น 10 คน

ต่อมาในวันที่ 18 ม.ค. น.ส.รวิพรรณได้ลงนามลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท และให้มีผลในวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งมีการประชุมผู้ถือหุ้นโดยมีวาระ เรื่องแจ้งการลาออกของนายทวีและนายปิติ แจ้งการถือครองหุ้น และมีมติเลิกกิจการบริษัท เนื่องจากฝ่ายบัญชีพบว่า หนี้ที่มีอยู่เป็นหนี้ NPL หรือหนี้เสีย กว่า 11 ล้านบาท จึงตัดสินใจมีมติปิดบริษัท จากนั้นในวันที่ 21 ม.ค. นายทวีและนายปิติ รวมถึงผู้ถือหุ้นอีก 3 คน ได้โอนหุ้นคืนให้กับนางสมพรให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารบริษัท ทำให้เหลือหุ้นเพียง 5 คน

จากนั้นวันที่ 21 มี.ค. ทางบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้นำเอกสารไปยื่นต่อกรมธุรกิจการค้า ตามมาตรา 139 วรรค 2 ที่กำหนดให้ยื่นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นปีละ 1 ครั้ง ภายหลังจากการประชุมสามัญในวันที่ 19 มี.ค.

“เรื่องนี้ควรจบตั้งแต่ 8 ม.ค. ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกแล้ว หุ้นไม่อยู่ในมือคุณธนาธรอีกแล้ว แต่ในเมื่อยังสืบสาวราวเรื่อง พรรคก็ต้องชี้แจงต่อ และในการตามสืบเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเอกชนไปได้ แต่ในเมื่ออยากจะตรวจสอบก็เอาไปดูกัน และพยานหลักฐานก็ชัดเจนทั้งหมด มีข้อสงสัยของสื่อบางสำนักและผู้สนใจ ว่า โอนหุ้นเสร็จในวันที่ 8 ม.ค. แต่ไปยื่นวันที่ 21 มี.ค. ซึ่งสมัครส.ส.ไปแล้ว ขอบอกว่า การโอนหุ้นมีผลทางกฎหมายไปหมดแล้ว เป็นเพียงขั้นตอนการแจ้ง ไม่เกี่ยวกับการถือหุ้นของนายธนาธรเลย ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ไม่ควรจะบานปลายขนาดนี้ หากสื่อมวลชนบางสำนักเปิดใจให้กว้าง ดูหลักฐานเอกสารให้ครบถ้วน มีการสืบสาวจนมีการร้องเรียนกกต. เพื่อไม่ให้คุณธนาธรเป็นส.ส. ไม่ได้เข้าสภา เราจึงรวบรวมหลักฐานเพื่อชี้แจง” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตรกล่าวด้วยว่า แต่จนถึงวันนี้เรายังไม่ได้ชี้แจงเลย ซึ่งกกต. และคณะกรรมการช่วยตรวจสอบของกกต.จะชี้มูลหรือลงมติจำเป็นต้องฟังความทุกฝ่าย การตัดสินจะไม่มีความยุติธรรมเลย ถ้าเอาคำร้องของฝ่ายร้องมาพิจารณาฝ่ายเดียว ถ้าแบบนี้ต่อไปผมเหม็นขี้หน้าใคร ไม่ชอบใคร ก็ส่งคนนักร้องเรียนไปร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ดูเฉพาะใบที่ร้องเรียนแล้วจบ โดยไม่เรียกอีกฝ่ายไปเลย อย่างนี้ไม่เรียกยุติธรรมแน่นอน ผมเรียนว่า ถ้าสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข่าวนี้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คุณจะรู้สึกเหมือนกันว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมเป็นเรื่องภาววิสัย วิธีการที่จะรู้ก็ให้ลองจำลองตัวเองอยู่ในสถานการณ์นั้น แล้วลองตัดสิน สื่อที่กล่าวหาอยู่ข้างเดียว ก็ขอพิจารณาด้วยว่าเป็นธรรมหรือไม่

นายปิยบุตรกล่าวว่า เราทราบดีพรรคก่อตั้งมายึดในนโยบาย สิทธิ เสรีภาพ และการแสดงออก โดยเฉพาะเสรีภาพของสื่อมวลชนคือหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และพร้อมให้สื่อมวลชนตรวจสอบในฐานะบุคคลสาธารณะ แต่สื่อมวลชนมีภารกิจสำคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนนำมาเผยแพร่ แต่จะต้องไม่พยายามเอาข้อเท็จมาทำให้คนเชื่อว่าเป็นความจริง ตั้งแต่เราตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา เราถูกกล่าวหา โจมตีมาโดยตลอดจนถึงวันนี้

“พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคตั้งขึ้นมาด้วยความปรารถนาดีกับชาติ บ้านเมือง เราจึงรวมตัวกันเพื่อหวังจะออกจากความขัดแย้งแบบเดิม เดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ เราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร หากจะขัดแย้งเป็นพิเศษ ก็เป็นกับอำนาจเผด็จการเท่านั้น ถ้าบ้านเมืองต้องการเป็นประชาธิปไตยเราจำเป็นต้องขัดแย้งเผด็จการ เราไม่ได้ต้องการล้มนู่น ล้างนั่นใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทุกอย่างเราทำเพราะความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง คนวัยหนุ่มสาว เขาฝันที่จะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ คนวัยกลางคน ฝันว่าลูกหลานจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ และคนวัยกลางคนก็หวังที่จะมอบสังคมที่ดีแก่ลูกหลานของเขาต่อไป ขอความร่วมมือสื่อมวลชนบางสำนัก อย่าวาดภาพ จนทำให้นายธนาธร หรือตัวผม หรือตัวพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นปีศาจร้ายของการเมืองไทย วิธีแบบนี้ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทางออกทางการเมืองได้ เราทำแบบนี้กันมาหลายครั้ง อ.ปรีดี พนมยงค์ โดนนักการเมืองบางคนบางกลุ่มวาดภาพเป็นปีศาจร้าย ขอความกรุณาอย่าทำแบบนี้ เพราะมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย ความเห็นต่างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ” นายปิยบุตร กล่าว

เมื่อถามว่า เกรงว่า กกต.จะประวิงเวลาในการตรวจสอบจนไม่สามารถรองรับสถานะ ส.ส. ของนายธนาธร ในวันที่ 9 พ.ค. หรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า หากพิจารณาด้วยจิตใจเป็นธรรม เมื่อเห็นหลักฐานการโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. เห็นแค่นี้ต้องมีมติทันทีแล้วว่า เรื่องนี้ไม่มีมูล จากหลักฐานต่างๆ ครบถ้วน และไม่มีเหตุผลอื่นใดเลยที่ต้องตั้งคณะกรรมการช่วยตรวจสอบ นอกจากนี้การที่ทางคณะกรรมการดังกล่าวไปขอหลักฐานตามหน่วยงานๆ ตามที่ปรากฏออกมาเป็นข่าว แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยังไม่ได้รับโอกาสชี้แจงเลย ทั้งที่เรื่องนี้ควรจบไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งเราต้องขอความเป็นธรรมในการนำเอกสารหลักฐานจากทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามาพิจารณาด้วย

เมื่อถามว่า ได้เผื่อใจไว้หรือไม่ว่า นายธนาธรอาจไม่ได้เป็น ส.ส. นายปิยบุตรกล่าวว่า ไม่เคยกังวล หากบ้านเมืองนี้ปกครองกันโดยยึดกฎหมาย และความยุติธรรมอย่างแท้จริง หากองค์กรที่ชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระ เป็นอิสระอย่างแท้จริง ตนมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางทำอะไรได้ อย่างไรก็ตกแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หาก กกต.มีมติออกม เป็นใบส้ม จากกรณีดังกล่าว ทางพรรคจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายปิยบุตรกล่าวว่า เรามั่นใจ ว่า กกต.เป็นธรรม เช่นเดียวกับเอกสารหลักฐานทั้งหมด เรียนง่ายๆว่า ให้สื่อมวลชนไปถามผู้เชี่ยวชาญที่เขียนกฎหมายหุ้นส่วน ปัญหาคือ ที่ผ่านมามีสื่อบางสำนักเสนอข่าวนี้อยู่ฝ่ายเดียว เนื้อหาข้อเท็จจริงก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ แค่พาดหัวคนละแบบกันในแต่ละวัน จนคนสับสนว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร แต่เราก็แน่ใจว่าจะไม่โดนใบส้มอะไรทั้งสิ้น

นายปิยบุตรกล่าวถึงกรณี ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือ ผู้กองปูเค็มเข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติการถือหุ้นบริษัทว่าที่ส.ส. และสมาชิกพรรคการเมืองเนื่องจากยังถือครองหุ้น บริษัทที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจ ด้านสื่อสารมวลชน ว่า ที่มีบุคคลไปยื่นเรื่องให้กกต.กรณีขอให้ตรวจสอบ ผู้สมัครส.ส. หรือ ว่าที่ส.ส.กว่า 30 คน ทั้งหมดนั้นเป็นนักการเมืองของพรรคการเมืองที่ผนึกกำลังต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ของ คสช.ทั้งสิ้น ซึ่งขอให้พิจารณาว่าผู้ยื่นมีเจตนาแบบใด

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า หากคุณเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพ ทำไมถึงไม่ตรวจสอบพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.ด้วย ข้อกฎหมายที่ไปยื่นกันในมาตรา 98 วรรค 3 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 42(3) เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามการถือหุ้นสื่อ ข้อความระบุว่า ห้ามผู้สมัครส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นใด หมายถึง การประกอบกิจการเหล่านี้จริงๆ แต่ทุกวันนี้ที่มีการตรวจสอบกันคือ ไปเอาหนังสือบริคณห์สนธิ ที่ผู้สมัคร ส.ส.ไปดูสัก 1 วงเล็บ ว่ามีข้อไหนที่ระบุว่า ทำกิจการสื่อมวลชนบ้าง หากมีข้อนั้นก็ไปร้องเรียนทันที

“ผมเรียนว่า กฎหมายมาตรานี้ ต้องเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อ หรือหนังสือพิมพ์จริงๆ จะดูเฉพาะหนังสือบริคณห์สนธิไม่ได้ เพราะหนังสือบริคณห์สนธิเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็ไปเอาตัวอย่างมาจากแบบฟอร์ม ตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งแบบฟอร์มดังกล่าวจะเขียนวงเล็บไว้เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือ การทำกิจการเรื่องสื่อด้วย แต่ในทางปฏิบัติ บริษัทต่างๆ ก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อ แต่ในหนังสือเขียนเอาไว้เท่านั้นเอง อย่างกรณีที่มีสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ศาลฎีกาเองก็ตัดสินคดีดังกล่าว โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เราเข้าไปชี้แจงในศาล” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตรกล่าวว่า แต่เมื่อคำพิพากษาเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว จึงเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่ชอบร้องเรียน เข้าไปร้องเรียนกันเต็มไปหมด ซึ่งการตีความกฎหมายมาตรานี้ ต้องตีความว่าบริษัทนั้นๆ ทำสื่อจริงๆ ไม่ใช่ไปร้องเรียนต้องระวังโดนใบส้ม จนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคสืบทอดอำนาจก็ต้องระวังจะโดนบ้าง มีคนอีกฝ่ายไปร้องเรียนบ้าง ระวังเดี๋ยวจะตั้งไม่ได้เหมือนกัน อย่าใช้ช่องทางเหล่านี้จนทำให้การเมืองเดินต่อไม่ได้ ผมเชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส.แต่ละท่านคงเตรียมการมาอย่างดีสำหรับข้อกฎหมายนี้ ฝ่ายกฎหมายแต่ละพรรคก็ตรวจสอบแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน