คอลัมน์ ยานยนต์ รายงานพิเศษ

สันติ จิรพรพนิต

เป็นประจำในทุกๆ ปีที่แชมป์จากรายการ “โตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต” ในรุ่น “โคโรลล่า อัลติส วันเมกเรซ” ซึ่งเก็บคะแนนสะสมตลอดปีสูงสุด 2 คนจะได้สิทธิ์ เดินทางไปร่วมการแข่งขัน “TOYOTA Gazoo Racing Netz Cup Vitz Race” นัดชิงชนะเลิศที่สนาม “ฟูจิ สปีดเวย์” ประเทศญี่ปุ่น

โดยนักแข่งจากไทยจะร่วมชิงชัยความเป็นเลิศ กับแชมป์ระดับภูมิภาคของญี่ปุ่น

แต่ปีนี้แตกต่างไปเนื่องจากเกิดความ สูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทย ทำให้การแข่งขัน “โตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต” สนามสุดท้ายที่บางแสน ช่วงปลายปีเลื่อนไปจัดในปีหน้า ทำให้ชนกับรอบชิงชนะเลิศที่ญี่ปุ่น
3
โตโยต้า จึงเลือกส่ง 2 นักแข่งที่มีคะแนนสะสมนำโด่งอยู่แล้วคือ “สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” และ “นิวัฒน์ กลิ่นจำปา” เดินทางไปแข่ง “TOYOTA Gazoo Racing Netz Cup Vitz Race 2016” รอบคัดเลือกระดับภูมิภาคที่ญี่ปุ่นแทนเพื่อหาประสบการณ์ ในช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

ผมได้รับเชิญจาก “โตโยต้า” ประเทศไทย ไปชมและเชียร์ 2 นักแข่งไทย ร่วมกับเพื่อนพี่น้องสื่อมวลชนจากค่ายต่างๆ กว่า 30 ชีวิต โดยมีทีมประชาสัมพันธ์โตโยโต้ นำโดย “คุณแข” และทีมอีก 3 คน คอยอำนวยความสะดวก

การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นที่สนาม “ออโตโปลิส อินเตอร์เนชั่นแนล” จังหวัดโออิตะ เกาะคิวชู ซึ่งมีเมืองหลวงคือ “ฟุกุโอกะ”

ใช่ครับ…“ฟุกุโอกะ” คือเมืองที่เกิดเหตุถนนยุบตัวลึกกว่า 10 เมตร กว้างหลายสิบเมตรนั่นแหละ และญี่ปุ่นก็สร้างความทึ่งไปทั้งโลกเพราะจัดการหลุมยักษ์ดังกล่าวเสร็จภายในสัปดาห์เดียวเท่านั้น

คณะของเราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปถึงสนามบิน ฟุกุโอกะ ตอนเช้า ที่นี่มีเที่ยวบินตรงโดยการบินไทยวันละ 1 เที่ยวบินเท่านั้น

ช่วงเวลา 5 วันที่ผมอยู่เกาะคิวชู ได้ยินภาษาไทยจากคณะอื่นน้อยมาก ผิดกับช่วงไปโตเกียว หรือ โอซาก้า

แต่คาดว่าในเวลาอันสั้นเมืองฟุกุโอกะ และเกาะคิวชู น่าจะเป็นอีกจุดหมายของคนไทย เพราะเริ่มเห็นร้านค้าต่างๆ พูดภาษาไทยได้นิดๆ หน่อยๆ

ถึงฟุกุโอกะ ก็แวะโน่นนี่นั่น 2-3 จุด ก่อนเดินทางยาวไปที่ “อาโซะ ฟาร์มแลนด์” รีสอร์ตบ่อน้ำแร่ จังหวัดโออิตะ ที่คณะต้องนั่งรถต่ออีกหลายชั่วโมงมาพักที่นี่ เพราะเป็นจุดที่ใกล้กับสนามแข่งมากที่สุด

เพราะตามกำหนดการแข่งขันซึ่งมี 2 รอบคือ ควอลิฟาย หรือจัดอันดับการออกตัว และรอบแข่งจริง จัดในช่วงเช้าและเที่ยง จึงต้องหาที่พักใกล้กับสนามแข่งมากที่สุด

อากาศที่เกาะคิวชูช่วงนี้กำลังสบาย เนื่องจากเย็นราว 10 กว่าองศา แต่มีฝนตกลงมาเป็นพักๆ

วันรุ่งขึ้นเป็นกิจกรรมที่ทุกคนรอคอย เดินทางมุ่งหน้าไปยังสนามออโตโปลิส อินเตอร์เนชั่นแนล สนามแข่งรถที่สร้างบนภูเขาวิวสวยมากๆ สนามนี้ถือว่าค่อนข้างยากเอาเรื่องความยาว 4.76 กิโลเมตร เป็นทางขึ้น-ลงเขาตลอด และมีมากถึง 18 โค้ง
2
การแข่งใช้รถ “โตโยต้า วิตช์” หรือ “ยาริส” ในบ้านเรา เป็นซิตี้คาร์เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร จึงยากที่จะแซงกันได้ในทางตรงต้องไปอาศัยชิงจังหวะทางโค้งว่าใครจะเหนือกว่า

วันแข่งขันเจอปัญหาทั้งฝนตกอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สาหัสกว่าคือ “หมอก” ปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นทาง

ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องเลื่อนรอบควอลิฟาย ออกไปหลายชั่วโมง

ทีม “Toyota Team Thailand” ที่มาร่วมแข่งขันด้วยนี้มี “สุทธิพงษ์ สมิตชาติ” นักแข่งระดับปรมาจารย์ที่คร่ำหวอดในวงการแข่งรถที่ญี่ปุ่น มาหลายสิบปีเป็นผู้จัดการ

เนื่องจากไทยมาแข่งในลักษณะ “ร่วมแจม” เท่านั้นไม่มีผลต่อการเก็บคะแนน ทำให้สุทธิพงษ์กำชับลูกทีมเป็นพิเศษว่าอย่าขับเสี่ยงไปกระทบกระทั่งกับรถคันอื่น เพราะนักแข่งจากญี่ปุ่นต้องเก็บคะแนนสะสม

รอจนฟ้าเปิดผู้จัดให้รถที่เข้าร่วมรวม 17 คัน ทดลองซ้อมขับบนสนามจริงก่อน

“สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” ในรถหมายเลข 122 ทำเวลาเข้ามาเป็นอันดับ 2 ส่วน “นิวัฒน์ กลิ่นจำปา” รถหมายเลข 222 เข้ามาอันดับ 9

จากนั้นต้องรออีกพักใหญ่ๆ เนื่องจากหมอกลงมาปกคลุมสนามอีกแล้ว

จนราวๆ เที่ยงนั่นแหละสนามถึงเปิดอีกครั้ง และแข่งรอบควอลิฟายได้ โดย “สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” ได้อันดับที่ 6 ขณะที่ “นิวัฒน์ กลิ่นจำปา” อันดับ 11

ระหว่างรอการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ หมอกยังดื้อไม่ยอมไปไหนแถมยังขี้เล่นสุดๆ เพราะบางครั้งฟ้าก็เปิดโล่งแต่แค่ไม่กี่อึดใจหมอกก็กลับมาอีก

กระทั่งช่วงเย็นสนามพอจะมองเห็นได้บ้าง ผู้จัดจึงอนุญาตให้ลงแข่งรอบชิงชนะเลิศ

สำหรับสื่อมวลชนจากเมืองไทยการเข้าชมนัดนี้ถือว่าคุ้มค่าและเชียร์กันสนุกมาก เพราะไฮไลต์ตลอด 9 รอบสนาม อยู่ที่ “สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” นั่นเอง

“สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” ออกสตาร์ตในอันดับที่ 6 แต่ผ่านไปไม่กี่รอบก็แซงขึ้นมาที่ 5 ก่อนบดบี้กับอันดับ 4 อย่างสนุก

เป็นคู่ที่กล้องถ่ายทอดจับภาพมากที่สุด เนื่องจาก 3 อันดับแรกทิ้งไปค่อนข้างห่าง

ผ่านมาสักพักนักแข่งไทยเรียกเสียงฮือฮาเมื่อฉวยจังหวะแทรกเข้าในบริเวณทางโค้ง ทะยานแซงไปอยู่อันดับที่ 4

ทว่าผ่านมาอีกไม่กี่โค้งคู่แข่งขับรถเบียดกันชนหลังฉีกออกมา จนโดนแซงกลับไป

และด้วยสภาพรถที่ไม่สมบูรณ์ทำให้โดนคันหลังแซงไปอีก

ครบ 9 รอบ “สุพงศ์ ขำต้นวงษ์” เข้าเป็นอันดับที่ 6 ส่วน “นิวัฒน์ กลิ่นจำปา” มาเป็นอันดับ 11 ตามตำแหน่งออกสตาร์ตนั่นเอง

ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งนักแข่งไทยทั้งคู่น่าจะเกร็งพอสมควร และไม่กล้าขับเสี่ยงมากไปตามที่ผู้จัดการทีมกำชับเอาไว้ เพราะเรามาในฐานะแขกรับเชิญ เข้าร่วมเพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น จึงไม่ได้จัดหนักแบบการแข่งที่มีผลแพ้-ชนะเป็นเดิมพัน

แต่อย่างน้อยการมาแข่งที่ “ออโตโปลิส อินเตอร์เนชั่นแนล” ซึ่งเป็นสนามระดับอินเตอร์ ทำให้ 2 นักแข่งไทยได้ประสบการณ์ไม่น้อย ส่วนกองเชียร์ก็อิ่มอกอิ่มใจ เพราะแม้จะไม่ได้ขึ้น “โพเดียม” แต่นักแข่งไทยก็โชว์ศักยภาพไม่เป็นรองนักแข่งจากญี่ปุ่นเช่นกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน