รายงานพิเศษ

ปั่นป่วนไปทั้งเมืองไทยและทั่วโลกกับข่าวธนาคารกลางสหรัฐ อเมริกาหรือ “เฟด” จะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ ซึ่งมาเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะปรับขึ้นในการประชุมเดือนธ.ค.

โดยเฉพาะเมื่อ นายเอริก โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สาขาบอสตัน ออกมาหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยให้ปีนี้ 2 ครั้ง คือเดือนก.ย. และธ.ค. เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อปรับเข้าใกล้เป้าหมายของเฟด รวมถึงอัตราคนว่างงานลดลงต่อเนื่อง

ทำให้เกรงว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะร้อนแรงเกินไป ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรป อังกฤษ และจีน ยังลุ่มๆ ดอนๆ

การออกมาของนายเอริก สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดหุ้น ทั่วโลกเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ปรับลดกันระเนระนาด ของไทยเองก็โดนเข้าไปจนจุกปิดลบถึง 33 จุด

อย่างไรก็ตามกระแสข่าวเรื่องปรับดอกเบี้ยเบาบางลง เพราะ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ออกมาเบรกเอาไว้ ทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวกลับมา

กระนั้นทั่วโลกยังไม่ไว้วางใจ เพราะการขยับดอกเบี้ยของเฟด จากปัจจุบันที่ 0.25-0.5% จะส่งผลกระทบกับตลาดทั่วโลก

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ถ้าเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยของไทยด้วยหรือไม่นั้น อยากให้มองว่านโยบายการเงินแต่ละประเทศ จะต้องตอบโจทย์สถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ธปท.จะใช้นโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนให้เกิดการมีสภาพคล่อง มีภาวะตลาดการเงินที่เอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ

“อยากให้รอดูการประเมินของ กนง.ในครั้งต่อไป ซึ่ง กนง.พร้อมใช้นโยบายการเงิน ถ้าสภาวะทางเศรษฐกิจมีความแตกต่างออกไปจากที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ”

ขณะที่ นายจาตุรงค์ จันทรักษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า หากเฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผล กระทบต่อตลาดการเงินและทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของไทยมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากตลาดการเงินมีปฏิกิริยาในการคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเชื่อว่าจะมีไม่มาก

อย่างไรก็ดี ที่ประชุม กนง.ครั้งล่าสุดที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ยังไม่ได้ฟันธงว่าเฟดจะตัดสินใจอย่างไร แต่มีรายงานว่าตลาดการเงินมองว่าที่ผ่านมาประธานเฟดออกมาพูดกลับไปกลับมาในการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย ทำให้กนง.มองว่าตลาดการเงินมีความเห็นว่าเฟดคงไม่ได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบเดือนก.ย.นี้ แต่จะไปปรับในรอบเดือนธ.ค. มากกว่า

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการวิจัย และคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปลายปีนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก กระทบเงินทุนจะไหลกลับไปสหรัฐ ทำให้ค่าเงินสกุลต่างๆ รวมทั้งเงินบาทจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดหุ้นจะปรับลดลงจากแรงขายของนักลงทุน

ด้านตลาดทุนไทยที่ถือว่า “จมูกไว” และอ่อนไหวกว่าตลาดอื่นๆ โดย นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานการเงินและบริหารเงินลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า เฟด มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีความผันผวนปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ในช่วงที่ผ่านมา

“หากเฟดมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง เชื่อว่ามีผลทำให้เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าทั้งตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมีโอกาสไหลออกได้ ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่คาดว่าจะไม่มาก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งและหนี้ของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) ค่อนข้างต่ำ ที่สำคัญขณะนี้ยัง ไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยที่มากระทบความสามารถในการทำให้กำไรของ บจ.ด้อยลง

นายภากรกล่าวอีกว่าส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป จากการลงทุนของภาครัฐและการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น ประกอบกับบจ.ไทย มีความได้เปรียบเนื่องจากมีบจ.ถึง 192 บริษัท ที่มีรายได้จากต่างประเทศทำให้สนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการได้

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่าสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนโดยรวมของตลาดเศรษฐกิจใหม่ อย่างประเทศไทย และเป็นปัจจัยที่มีโอกาสกระทบต่อการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้น อย่างไรก็ดีประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ปีนี้

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าธนาคารประเมินว่า ธนาคารสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีนี้เพียงครั้งเดียว คือในช่วงเดือนธ.ค.นี้ หรืออย่างช้าในช่วงต้นปี 2560 จากเดิมที่คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 2 ครั้ง ในเดือนก.ย.และพ.ย.นี้

เนื่องจากระดับเงินเฟ้อของสหรัฐในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่เป้าหมายที่ 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.6% ทำให้มองว่าเฟดมีโอกาสที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน

ขณะที่ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้ เนื่องจากตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐหลายตัวยังไม่แข็งแกร่งพอ อาทิ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(พีเอ็มไอ) ภาคการผลิตที่ปรับตัวลงในเดือนส.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด

ล่าสุดดัชนีพีเอ็มไอ ภาคบริการลดลงสู่ระดับ 51.4 ต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัย ธ.กรุงศรีประเมินว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดน่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเดือนธ.ค.นี้

หากประเมินจากทัศนะของแบงก์ชาติเมืองไทยและภาคเอกชนต่างๆ เชื่อว่าเฟดน่าจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนก.ย.นี้ แต่ขึ้นแน่ในเดือนธ.ค. อย่างน้อยทำให้ตลาดทั่วโลกมีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น

แต่กระนั้นก็ยังวางใจไม่ได้ 100% จนกว่าจะผ่านพ้นการประชุมของเฟดในเดือนก.ย.นี้ไปก่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน