การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ‘นายวิชัย ศรีวัฒนประภา’เจ้าสัวคิงเพาเวอร์ ทำให้คนในวงการธุรกิจจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอนาคตของอาณาจักรดิวตี้ฟรี ที่ถือครองมายาวนาน

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

รวมถึงการรับไม้ต่อของ ‘อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา’ลูกชายคนเล็ก ที่เข้ามาดูแลธุรกิจระดับแสนล้านบาท จะสามารถถือครองสิทธิ์ร้านค้าดิวตี้ฟรีภายในสนามบินสุวรรณภูมิที่ยาวนานถึง 14 ปีต่อไปได้อีกหรือไม่

 

โดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่อายุสัญญาสัมปทานพื้นที่เช่าร้านค้าปลอดภาษี(ดิวตี้ฟรี) ของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPS) ในพื้นที่อาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมถึงท่าอากาศยานภูมิภาคอีก 3 แห่งคือ เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต ที่ได้ทำสัญญาไว้กับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) กำลังจะหมดลงพร้อมกันในเดือนก.ย. 63 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้านี้

ล่าสุดทอท.มีแนวคิดที่จะนำพื้นที่ในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของสนามบินสุวรรรภูมิ ที่กำลังมีข้อพิพาทเรื่องแบบก่อสร้าง มารวมเป็นแพ็กเกจเดียวกับอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ที่กำลังจะหมดสัญญาลง เพื่อเปิดประมูลรวมเป็นสัญญาเดียวพื้นที่รวม 57,000 ตารางเมตร ตั้งเป้าจะเปิดประมูลพร้อมกันภายในปีนี้ เพื่อให้เอกชนมีเวลาเข้ามาปรับปรุงหรือก่อสร้างร้านค้าก่อนเปิดบริการจริง

ขณะที่สนามบินอู่ตะเภาภายใต้การกำกับของกองทัพเรือ เตรียมเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ในรูปแบบพีพีพี ภายในอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ หรืออาคารผู้โดยสาร 2 พื้นที่รวมประมาณ 2,000 ตารางเมตร

แบ่งออกเป็น 1.พื้นที่สินค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) 2 โซนคือ เส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออก และ 2.พื้นที่ร้านค้าปลีกและบริการอื่นๆ วงเงินลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุสัมปทานระยะเวลา 10 ปี

ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับรุ่นที่ 2 ในวันที่ไร้เจ้าสัววิชัย เพราะบรรดาคู่แข่งทั้งกลุ่มทุนไทยและทุนนอกยักษ์ใหญ่ต่างประกาศลงสนามแข่งสู้ศึกแย่งชิงพื้นที่ดิวตี้ฟรีกันแบบเต็มสูบ

เริ่มจากกลุ่มเดอะมอลล์ ที่ปัจจุบันได้บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในส่วนของร้านอาหารแบรนด์เนมภายในสนามบินดอนเมือง กลุ่มเซ็นทรัล บมจ.การบินกรุงเทพ ผู้ดำเนินธุรกิจสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่เบนเข็มมาสู้ศึกดิวตี้ฟรี หลังธุรกิจการบินมีมาร์จินต่ำจากการแข่งขันที่รุนแรง พร้อมตั้งเป้าภายใน 3 ปี (2561-2563) จะปั๊มรายได้ธุรกิจดิวตี้ฟรี 5% ของรายได้รวม

อีกหนึ่งเป็นกลุ่มทุนยักษ์จากแดนกิมจิที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคิง เพาเวอร์ คือ ‘ล็อตเต้ ดิวตี้ ฟรี’ ร้านดิวตี้ฟรีอันดับหนึ่งในเอเชีย และอันดับ 3 ของโลก ก็เข้าร่วมในศึกในครั้งนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้กลุ่มล็อตเต้ เคยพยายามเข้ามาแล้วหลายรอบแต่ติดขัดที่สัญญาสัมปทาน

ปัจจุบัน บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด มีร้านค้าปลอดดิวตี้ฟรีในประเทศไทยรวมกว่า 10 แห่ง โดย 6 แห่งอยู่ในสนามบินนานาชาติ ทั้งที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ และอู่ตะเภา ขณะที่อีก 4 แห่งเป็นคอมเพล็กซ์อยู่ที่ซอยรางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต

ทั้งหมดทำรายได้จากยอดขายปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ครองตำแหน่งร้านดิวตี้ฟรีใหญ่เป็นลำดับที่ 7 ของโลก

ล่าสุดบริษัทวางแผนยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจใน 5 ปี (ปี 2560-2564) จะทุ่มเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขยายอาณาจักรดิวตี้ฟรีให้มียอดขายสูงถึง 1.3-1.4 แสนล้านบาท

จากนี้ต้องรอดูว่าคิง เพาเวอร์ในวันที่ไร้หัวมังกรอย่างเจ้าสัววิชัย จะสู้ศึกช่วงชิงร้านค้าดิวตี้ฟรีจากสนามบินต่างๆ ได้อย่างราบรื่นเหมือนที่ผ่านๆ มาหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ‘อัยยวัฒน์’ ที่ก่อนหน้านี้ผู้พ่อเริ่มปูทางให้เข้ามาบริหารบริษัท รวมทั้งดูแลสโมสรฟุตบอล‘เลสเตอร์ ซิตี้’ อยู่แล้ว ต้องเทคแอ๊กชั่นมากขึ้น

แม้โดยประสบการณ์และชื่อชั้นยังเป็นรองเจ้าสัววิชัยอยู่หลายขุม

แต่นาทีนี้ทายาทแสนล้านไม่มีทางเลือก นอกจากเดินหน้าเต็มสูบเพื่อรักษาความเป็น‘คิง ออฟ ดิวตี้ฟรี’ต่อไป

เพื่อสานต่อเป้าหมายการขึ้นแท่นเป็นร้านดิวตี้ฟรีชั้นนำ 1 ใน 5 ของโลก ตามที่เจ้าสัววิชัยวางแผนเอาไว้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน