วันที่ 24 พ.ค. ที่ Acts Studio จ.ปทุมธานี “ฌอห์ณ จินดาโชติ” พระเอกหนุ่ม มาร่วมถ่ายทำละคร “ลูกไม้ลายสนธยา” ผลงานจากค่าย บ.เมจิค อีฟ เอนเตอร์เทนเม้นท์ ทางช่อง 7 สี พร้อมให้สัมภาษณ์ความรู้สึกหลังจัด ‘นิทรรศการเล่าเรื่องเก่าที่เราแคร์ ผ่านชุมชนบางแคที่เราเห็น’ จบไปแล้ว เผยกำลังเริ่มโปรเจ็กต์ที่สอง เล็งกลุ่มคนตาบอด ด้านสถานะหัวใจ แจงทำงานเยอะแต่ไม่ห่าง โทรหากันได้

โดย ฌอห์ณ เผยว่า “ผลตอบรับดีครับ ได้ยอดมาเกินแสนกว่า และเราก็หักค่าทุนค่าอะไรนิดหน่อย ซึ่งก็ถือว่าได้มาเยอะเลย และเดี๋ยววันเสาร์นี้ผมกับทีมก็จะนำเงินไปให้ที่บ้านบางแค รวมถึงชุมชนโดยรอบทางเพชรเกษม”

ทำไมเราถึงเลือกให้ความใส่ใจกับผู้สูงอายุ
“ก็เพราะเรามีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย และคุณปู่ผมก็เข้าสู่วัยชราเหมือนกัน รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ก็อยู่แถวบางแคกันเยอะ ดังนั้นเราเลยรู้สึกว่าถ้าหากเราจะทำอะไรทั้งที เราก็อยากจะมอบให้กับถิ่นที่อยู่ที่เพื่อนๆ ของผมเกิดและโตมา จึงทำให้ตัดสินใจเลือกที่นั่น บวกกับพอได้เข้าไปหาข้อมูลจากบ้านพักคนชรา ถึงได้ทราบว่าเขาเองก็ยังขาดอะไรอีกเยอะ ทั้งความเข้าใจ ปัจจัย อีกทั้งผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ห่างกับผู้ใหญ่เยอะ ก็เลยอยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาจากการทำสิ่งนี้ดีกว่า”

ตอนนั้นพอเราได้ลงพื้นที่ไปดู ถึงได้ตัดสินใจเลยใช่ไหมว่าจะช่วยเหลือ
“ผมมองว่าเรื่องเงินเป็นอันดับ 2 แต่เรื่องแรกคือเรื่องของเวลา คือทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่จัดเวลาหรือให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวน้อยมาก ไม่มีใครหรอกครับอยากอยู่บ้านพักคนชรา ทุกคนอยากใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอยู่ที่บ้านและครอบครัวตัวเอง แต่ในเมื่อไม่มีคนดูแล และอาจจะกลัวว่าเป็นภาระ ทุกคนก็เลยต้องหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งตอนที่ผมไปถึงบ้านพักคนชรา ผู้ใหญ่ทุกคนก็จะถามว่า เจอลูกเขาไหม เจอหลานเขาไหม ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้จักลูกหลานเขา มันก็เลยทำให้ผมเกิดความรู้สึกกับตัวเองว่า ถ้าหากยังมีพ่อแม่ปู่ย่าอยู่ เราก็ดูแลเขาเถอะครับ ให้เขาได้อยู่กับเรา อยู่ในสายตาเราดีกว่าให้เราเอาเขาไปฝากกับคนอื่น”

กระแสตอบรับดีขนาดนี้จะมีโอกาสจัดครั้งต่อไปไหม
“ตอนนี้เริ่มทำโปรเจ็กต์ที่สองแล้วครับ และก็มีนายทุนมาให้โอกาสกับทีมเดิมของเราด้วย (ยิ้ม) ซึ่งตอนนี้ก็คุยกับพ่อแม่และพี่สาวเหมือนกันว่า ในเมื่อเรามาทางนี้แล้ว ทำไมเราไม่ตั้งทีมทำอะไรเพื่อสังคมซะเลย เพราะมันอาจจะช่วยให้คนอื่นๆ ได้เห็นแล้วอาจจะมองเราเป็นแรงผลักดันในการทำเพื่อคนอื่นบ้าง ซึ่งผมคิดว่าโปรเจ็กต์ต่อไปน่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนตาบอด”

เรามองไปถึงการทำเป็นมูลนิธิเลยหรือเปล่า
“คิดครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้เนอะว่าชีวิตการเป็นนักแสดงของผมจะอยู่ไปได้ยาวแค่ไหน แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำได้ก็คืองานที่ผมผลิตเอง มันก็เลยเป็นเหตุผลให้ผมคุยกับเพื่อนๆ ว่าเรามาทำด้วยกันไหม ถึงแม้เราจะไม่ได้เงินหรือรายได้มาก แต่มันก็ยังดีกว่ากว่าตรงที่เราได้นำเอาวิชาความรู้ของเราไปช่วยเหลือสังคม ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็โอเค อีกอย่างผมจบปริญญาตรีด้านนี้มาโดยตรงด้วย ด้านสังคมวิทยา”

ขั้นตอนต่อไปของโปรเจ็กต์ที่สองเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว
“ตอนนี้เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามครับ เกี่ยวกับการหาข้อมูลของคนตาบอดทั้ง 4 จำเพาะ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และคนชรา ว่าพวกเขามีการใช้ชีวิตยังไง หรือคนที่เกิดมาและตาบอดกับคนที่เพิ่งจะตาบอดเขาดูแลตัวเองยังไง รัฐบาลช่วยเหลือควบคุมยังไงบ้าง รวมถึงเราต้องมาฝึกอ่านภาษาเบรลล์ด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะได้รู้ถึงแก่นจริงๆ ว่าการผลิตอักษรเป็นยังไง ตัวแท่นผลิตราคาเท่าไหร่ และเขาขาดเหลืออะไรกันบ้าง ซึ่งตอนนี้เราวิ่งหาข้อมูลกันทุกๆ วันหยุดเลยครับ”

เราได้ชวนเพื่อนๆ ดารามาร่วมโครงการนี้บ้างไหม
“ไม่มีเลยครับ เพราะเพื่อนๆ ดาราค่อนข้างจะวุ่น แต่ก็มี ฮั่น อิสริยะ ที่อยากช่วยเหมือนกัน แต่เขาไม่ถนัดอะไรเลย และก็เสนอว่าถ้าช่วยแต่งเพลงได้เขาก็อยากทำ รวมถึง พี่ณัฐ เทพหัสดิน เขาก็อยากช่วย อยากสนับสนุน เช่นเดียวกับกับ พี่อ้อม พี่เจี๊ยบครับ (ยิ้ม)”

ภูมิใจไหมที่สิ่งที่เราทำมีคนตอบรับและให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมดีใจตั้งแต่ตอนแรกที่คิดว่าจะทำแล้วครับ เหมือนเราคิดถึงตัวเองน้อยลงและคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แต่มันก็ดีใจกว่าตรงที่มีคนคอยสนับสนุนเรา ทั้งๆ ที่งานนี้สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเขียนข่าวเอง ไม่เคยทำจดหมายขอความอนุเคราะห์ต่างๆ เพราะอาชีพนักแสดงปกติแล้วมันจะมีแต่คนหยิบยื่นให้ แต่พอตอนนี้เราอยากจะเป็นผู้หยิบยื่นบ้างเราก็จำเป็นจะต้องหาวัตถุดิบดีๆ ซึ่งผมโชคดีตรงที่เพื่อนๆ และคนรอบตัวผมทั้งในและนอกวงการคอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนครับ”

สำหรับเรื่องบริษัท ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่หรือว่าจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว
“เพื่อนที่จัดตั้งอยู่เขาก็เปิดเป็นร้านกาแฟอยู่แล้วครับ คือจดเป็นนามบริษัทอยู่แล้ว เพียงแต่เรามองว่าจะใช้ชื่อต่อจากนั้นเป็นนามเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อสำหรับทำงานออแกไนซ์แบบนี้ ซึ่งชื่อก็คือ Cross Walk X Jinda เรียกว่ามีการลงทุนของเราไปด้วย ดังนั้นก็ขอเรียนเชิญนายจ้างนะครับ เชิญผมไปงานอีเวนต์ได้ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ เรื่องการทำบริษัทหรือธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ยังไงเราก็ต้องใช้ทุนตัวเองก่อนครับ บวกกับโปรเจคต่อไปก็เป็นโปรเจคใหญ่ ดังนั้นเราก็อาจจะต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่มาช่วยเป็นสปอนเซอร์สำหรับความช่วยเหลือครับ”

การที่เราเป็นคนมีชื่อเสียงทำให้การประชาสัมพันธ์ต่างๆ ง่ายขึ้นไหม
“ผมคิดว่าก็มีส่วนแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ครับ โอเคคนรับรู้ได้ง่ายขึ้นจริง แต่ความเชื่อถือมันอยู่ที่ตัวเราเองแล้วแหละ เพราะบางคนอาจจะทำผ้าป่าหรือทอดกฐิน แต่ไม่ค่อยได้ยอดก็มี ซึ่งมันเป็นความน่าเชื่อถือของแต่ละคน ซึ่งเราอาจจะโชคดีตรงที่เรามีเพื่อนที่คอยสนับสนุนและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเรา”

เป็นโครงการช่วยเหลือชมชุนแบบนี้ เราได้มีการขอความร่วมมือจากภาครัฐให้เขามาสนันสนุนบ้างไหม
“ตอนนี้ถ้าเป็นส่วนของหน่วยงานราชการ น่าจะเป็นเรื่องของการบริจาคโลหิตนะครับที่เรากำลังคุยกันอยู่ เนื่องจากผมไปบริจาคบ่อย และทำให้ได้ข้อมูลมาว่าเขามีเกล็ดเลือดกับพลาสมาที่ขาด เพราะคนไปบริจาคโลหิต 1 ถึง แล้วจบ จากนั้น 3 เดือนกลับมาใหม่ ซึ่งอาจจะมีเลือดเสียค่อนข้างเยอะเพราะคุณนอนน้อยและกินของทอดมา ซึ่งผมก็อาจจะสานต่อโครงการกับเขาและแคมเปญต่างๆ”

นอกจากความรู้ที่หน่วยราชการช่วยเหลือแล้ว ยังมีความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์บ้างไหม
“ยังครับ ด้วยผู้ใหญ่หลายท่านอาจะยังไม่ทราบว่าเราจริงจังกันแค่ไหน และผมเองก็ยังไม่อยากที่จะขอความช่วยเหลือจากภาครัฐขนาดนั้น เพราะผมและเพื่อนๆ เราก็ยังพอมีแรงสนับสนุนอยู่”

 

ทำงานด้านสังคมขนาดนี้เวลาให้เรื่องหัวใจไหม พระเอกหนุ่มกล่าวว่า “น้อยครับ น้อย แต่เราก็ยังโทรศัพท์และก็แชทหากันอยู่”

แสดงว่าไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน
“ใช่ครับ คืออาทิตย์หนึ่งอาจจะสัก 1 วัน หรือสองอาทิตย์เจอกันสักครั้ง เพราะงานละครบางวันเราก็เลิกดึก และเราเองก็ต้องนอนให้พอ ซึ่งเขาก็เข้าใจดี (ยิ้ม)”

ไม่ได้ห่างเหินกันใช่ไหม
“ไม่เลยครับ ก็อย่างที่บอกถ้าหากเราไม่ได้เจอเราก็จะโทรคุยโทรถามกันปกติว่าเราทำอะไรอยู่”

 

เขาได้ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนโปรเจ็กต์เราบ้างไหม
“เป็นการช่วยแบบรับฟังมากกว่าครับ อาจจะไม่ได้ลงแรง เพราะงานนี้เป็นงานผู้ชายจริงๆ มันก็ลงพื้นที่ภาคสนาม และถ้าหากมีนักแสดงมากกว่า 1 คนมันจะต้องวุ่นวายแน่นอน อีกอย่างเราเป็นผู้ชายการถึงเนื้อถึงตัวบ้างมันอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะลำบากครับ”

ไม่กลัวใช่ไหมว่านานๆ ไปจะทำให้มีปัญหาเรื่องความห่างหรือเวลาที่ไม่ตรงกัน
“เอ่อ…มันอยู่ที่ว่าความห่างอันนี้เราต้องดูด้วยว่าเราทำอะไรในระหว่างที่ห่างกัน ถ้าผมนอนอยู่บ้านไม่ได้อัปเดตอะไรกับเขาเลย อันนี้สิถึงเรียกว่าห่าง แต่ถ้าหากผมอัปเดตกับเขาตลอดว่าผมกำลังทำอะไร เขาก็จะไม่รู้สึกเลยว่าเราห่างกันเพราะเขาจะรู้สึกว่าเขามีตัวตน และที่ไหนที่เขารู้สึกมีตัวตนที่นั้นก็จะเป็นที่ที่เหมาะสม”

 

ขอบคุณภาพจากไอจี seanjindachot, gypsykeerati

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน