“จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล”

เรียกว่าเป็นผู้กำกับฯ คนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำละครและภาพยนตร์เทิดพระเกียรติ รวมถึงละครและภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 เยอะมาก สำหรับผู้กำกับฯฝีมือดี “อุ๋ย”นนทรีย์ นิมิบุตรผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ยุคใหม่ของไทย

ถ้านับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ “อุ๋ย-นนทรีย์” บอกว่า เขาทำมากกว่า 30 เรื่อง แต่ถ้านับหลังจากที่พระองค์สวรรคต เขาทำมา 8 เรื่อง มีทั้งซีรีส์ หนังสั้น และภาพยนตร์แอนิเมชั่น

โดยผู้กำกับฯ รุ่นครูกล่าวว่า “ผมคิดว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทำเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน สำหรับผมยังรู้สึกว่าเป็นเกียรติและยังรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำมันน้อยไปด้วยซ้ำหากเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่าน ที่สำคัญคือยังรู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่พระองค์ได้ส่งต่อมาตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นแล้วไอเดียไม่จบสิ้น ยังทำได้เรื่อยๆ พอมีโปรเจ็กต์ไหนมาอยากให้ทำเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมยินดีรับหมด ตั้งแต่จำความได้เวลานั่งดูทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็จะเห็นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจตลอดเวลา ทรงงานไม่หยุด สิ่งที่พระองค์ทำให้พสกนิกรและแผ่นดินไทยมันยิ่งใหญ่ล้นเหลือมากจริงๆ มีโครงการกว่า 3 พันโครงการ

 

เรียกว่าจะหยิบแง่มุมไหนก็ได้มาบอกเล่า แม้กระทั่งเรื่องที่มีคนเขียนจดหมายไปหาพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตอบจดหมายกลับมา อะไรเหล่านี้มันยิ่งใหญ่มากที่จะนำมาเป็นสารถ่ายทอดไปยังคนดู”

 

“เคยมีครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวในที่ที่ทุรกันดารห่างไกลจากเมืองมาก ผมก็ยังเห็นว่ามีรูปของพระองค์ท่านอยู่ คนแถวนั้นก็เล่าให้ฟังว่าพระองค์ท่านทรงมาทำอะไรที่นั่น อย่างเรื่องที่พระองค์เคยไปรถเสียอยู่บ่อยๆ จนชาวบ้านแถวนั้นก็สงสัยว่าทำไมคนนี้ชอบมาจังทั้งที่บอกไปหลายครั้งแล้วว่าทางมันไม่ดี แล้วก็มาทราบกันทีหลังว่าพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปที่นั่นเพื่อจะไปแก้ไขปัญหาความทุรกันดารที่เกิดขึ้น

 

 

ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ผมขนลุกเลย ใครจะทำเพื่อประเทศไทยได้มากขนาดนี้เท่ากับพระองค์คงไม่มีแล้ว ผมตั้งใจที่จะทำละครเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปเรื่อยๆ อยากรับใช้เบื้องพระยุคลบาทเท่าที่ตัวเองจะทำได้”

ถามว่ามีละครหรือภาพยนตร์เทิดพระเกียรติ และละครหรือภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ เรื่องไหนที่ประทับใจตัวเองเป็นพิเศษไหม อุ๋ย-นนทรีย์เผยว่า “จริงๆ ประทับใจทุกเรื่องเพราะทำจากหัวใจทุกเรื่อง แต่มีหนึ่งเรื่องที่ดูจะพิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ หน่อยนึงคือเรื่อง “เหรียญของพ่อ” ถือเป็นครั้งแรกที่ผมทำหนังเฉลิมพระเกียรติเป็นแนว แอ๊กชั่น ยิ่งไปกว่านั้นคือได้ส่งสคริปต์และสตอรี่บอร์ดให้พระองค์ท่านทรงมีพระราชวินิจฉัยลงมา

ตอนนั้นตื้นตันใจจนทำอะไรไม่ถูก ผมเองก็เพิ่งทราบว่าจริงๆ แล้วพระองค์ท่านทรงทำอย่างนี้ตลอด จนมาได้เกิดขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่ตามมาคือความสงสัยว่าพระองค์ท่านทรงงานเยอะมาก แล้วยังจะมีมาทำเรื่องละเอียดแบบนี้ด้วยเหรอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับตัวผม พอนึกถึงเรื่อง “เหรียญของพ่อ” ทีไร ก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตที่มีครับ”

สำหรับสิ่งที่เดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 เขากล่าวว่า “คือเรื่องของความอดทนอดกลั้นและการจัดสรรเวลา ทุกครั้งที่รู้สึกท้อใจหรือเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน ผมแค่นึกถึงพระองค์ท่านเท่านั้นก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่ผมเจอถือว่ากระจอกมาก นอกจากทรงงานอย่างหนักแล้ว พระองค์ท่านยังแบ่งเวลาให้ครอบครัวด้วย ในสมัยที่สมเด็จย่ายังทรงมีชีวิตอยู่พระองค์ก็จะไปทานข้าวและทำกิจกรรมกับสมเด็จย่าอยู่เรื่อยๆ

 

 

พระองค์ทรงจัดสรรเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเราตลอดเวลา ตัวเรายังดูแลแค่ตัวเองกับคนในครอบครัว มากหน่อยก็อาจจะมีลูกน้องไม่กี่ชีวิต แต่พระองค์คนเดียวดูแลคน 70 ล้านคน ตลอดระยะเวลา 70 กว่าปี โอ้โห…ทำได้ยังไง”

“ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าสิ่งที่ตัวเราเจอมันเหน็ดเหนื่อย พระองค์ท่านเหนื่อยกว่าพวกเรามากมาย และทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเราด้วย ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เอง”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน