หมายเหตุ : สัมภาษณ์พิเศษ นายชำนาญ จันทร์เรือง 1 ใน 15 ผู้ขอจดแจ้งจัดตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ถึงความพร้อมในการเตรียมตัว ในฐานะประกาศเป็นพรรคทางหลัก เพื่อสร้างความนิยมเอาชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่หวังพลิกโฉมการเมืองไทย ให้กลายเป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประกาศรับรอง

ทั้งยังวิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองตามโรปแม็ปเลือกตั้งเดือนก.พ. 2562 และหนทางการสืบทอดอำนาจโดยพรรคทหาร ดังนี้

กระแสตอบรับหลังเปิดตัวเดือนเศษ

ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ มีคนแสดงความคิดเห็น เสนอตัวเข้ามา สอบถามถึงการจะสมัครสมาชิกพรรค ซึ่งเราเปิดให้ผู้สนใจ และมีความสามารถ เข้ามาร่วมงานผ่านเว็บไซต์ thefutu….e wewant.today โดยตอนนี้มีคนเสนอตัวเข้ามาแล้วหลักพันคน

ส่วนชาวบ้านทั่วไปยังไม่ทราบมากนัก แต่อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้คนไทยส่วนใหญ่ใช้สมาร์ตโฟน จำนวนผู้ใช้สมาร์ตโฟนพอๆ กับจำนวนประชากร แม้จะไม่ได้ใช้ทุกคน แต่ยังไงก็ต้องได้ข่าวพรรคอนาคตใหม่บ้าง

ช่วงแรกเราต้องพยายามเข้าถึงก่อน แต่เรื่องนโยบายยังพูดถึงมากไม่ได้ ต้องรอให้ประชุมพรรคเพื่อเลือกหัวหน้า พร้อมคณะกรรมการบริหารให้ได้ก่อน จึงออกนโยบายได้ โดยรายละเอียดจะเปิดเผยกันใกล้ๆเลือกตั้ง

บอกได้เพียงวัตถุประสงค์หลักคือ “ปรับโครงสร้าง ปลดล็อก เปิดโอกาส”

เราเคยได้ยินคำว่า “เสียงดีแต่ไม่มีคะแนน” ต้องปรับตรงนี้ให้ได้ โดยทำให้เป็นประชา ธิปไตยที่กินได้และปฏิบัติได้ คำชมอย่างเดียวไม่พอ ต้องแปลงให้เข้าถึงและตอบสนองความต้องการเขาให้ได้ว่า ถ้าเลือกเราแล้วอนาคตใหม่จะเป็นอย่างไร

มองสถานการณ์การเมืองตอนนี้อย่างไร โรดแม็ปเลือกตั้งเดือนก.พ.2562

ในฐานะนักรัฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ทางการเมือง คงไม่แตกต่างจากการคาดการณ์มากนัก ผมว่าน่าจะเป็นไปตามนั้น

แต่อย่างว่าอำนาจเป็นสิ่งเสพติด คนก็ไม่อยากลง กลัวจะถูกเช็กบิล จึงพยายามยื้อ แต่ยังไงประเทศนี้ก็ต้องมีเลือกตั้ง เขาก็ต้องพยายามยื้อเพื่อให้ได้เปรียบที่สุด

เพราะรัฐธรรมนูญที่ออกแบบไว้ กลับมามัดคอตัวเอง พยายามจะกำจัดหรือตัดตอนพรรคใหญ่ แต่ทีนี้พรรคที่จะสนับสนุนตนเองก็โดนไปด้วย จึงมีการยืดขยายบังคับใช้ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไป 90 วัน

ปรากฏว่ากระแสตีกลับ พอพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นเสียงตอบรับดี บางคนพูดถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะถึงขึ้นนายกฯ

สถานการณ์จึงยังมี 2 ทาง 1.ยื้อไปเรื่อยๆ 2.รวบรัดตัดตอนให้เร็ว จริงๆแล้วเดือนพ.ย.นี้ ก็สามารถเลือกตั้งได้ ทุกอย่างมีการเตรียมการไว้แล้ว อย่างกกต.ก็ตั้งตุ๊กตาไว้หลายแบบ เขตเลือกตั้งก็ประกาศไม่ยาก

หากจะเลื่อนออกไปไม่น่าเกิน 1-2 เดือน จากก.พ.2562 ซึ่งยังพอฟังได้ แต่ถ้ามากกว่านั้น การเมืองจะกลับมาลงสู่ท้องถนนแน่

อนาคตใหม่พร้อมเลือกตั้งแค่ไหน

เราไม่เคยคิดว่า กระแสตอบรับจะดีขนาดนี้ หากครั้งแรกเราแพ้ ยังไปไม่ได้มากนัก แต่ก็ถือว่า เราตั้งไข่แล้ว

พรรคเราเป็นพรรคทางหลัก ไม่ใช่พรรคทางเลือก มีการวางแผนไว้ไกล ไม่ใช่เฉพาะกิจ พอเลือกตั้งครั้งนี้เสร็จแล้วเลิก เราจะทำต่อไป เพื่อลูกเพื่อหลาน

การรวมตัวกันตั้งอนาคตใหม่ ก็เพื่อทำให้เห็นว่า การเมืองคือวิถีหนึ่ง ซึ่งเราหนีไม่พ้น ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม การมาทำการเมือง ก็เพื่อให้คนมาข้องแวะด้วย ไม่มีสิ่งที่จะถูกปฏิเสธ เพราะหากปฏิเสธ ก็ไม่มีใครหนีได้

หากเราไม่ยุ่งการเมือง การเมืองก็จะมายุ่งกับเราอยู่ดีทุกอย่างเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันของเรา แต่ละสิ่งแทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกี่ยวกับการเมือง

การเมืองแบบมีส่วนร่วม ยังเป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยชิน เหมือนการใช้หัวคะแนนเข้าถึงคนในพื้นที่

การเมืองแบบเดิมมันล้าสมัย น้ำเน่า สาดโคลนใส่กัน ซื้อตัวขายตัว เอาเงินไปให้หัวคะแนน อะไรเก่าๆแบบนี้เราไม่ทำ

อย่างค่าใช้จ่ายในการลงสมัครเลือกตั้ง ก็มีเตรียมการไว้ให้นิดๆหน่อยๆ เป็นค่าพาหนะเดินทาง แต่ไม่ใช่จ่ายเงินไป เพื่อแลกกับคะแนนเท่านั้นเท่านี้

เงินที่จะได้มา จะใช้การระดมทุน จากระบบ C….owdfunding ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย แต่จะมีการนำเทคโนโลยีและระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วย ไม่มีนายทุน เพราะมิเช่นนั้น จะไม่ต่างจากอดีต

สำหรับระบบหัวคะแนนก็คงมี แต่ขอใช้คำว่า ผู้ประสานในพื้นที่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเดินทางให้ แต่ไม่ใช่หัวคะแนนแบบเอาเงินไปก้อนหนึ่งไปแลกคะแนนมาเท่านี้ แบบนี้ไม่เอา เราจะไม่มีนโยบายแบบนั้น ไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน

ผู้ประสาน จะทำทั้งในระดับภาค ระดับจังหวัด จนถึงระดับล่างถึงหมู่บ้าน ด้วยการทำแคมเปญ โดยใช้เครือข่ายของประชาชนในพื้นที่ มีทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ

ซึ่งกฎหมายใหม่กำหนดให้ทำไพรมารี่โหวตด้วย คะแนนตรงนี้จะไปเอาจากตรงไหน ถ้าไปไม่ลึกถึงระดับพื้นที่ การรณรงค์แบบนี้จะไปเกื้อหนุนเรื่องการทำไพรมารี่โหวต ที่หากพรรคไหนไม่ทำก็ผิดกฎหมาย ต่างจากเดิมที่แม้จะมีสาขาพรรค แต่ข้างบนพรรคก็จิ้มเอาได้ จะส่งใครลงสมัครเลือกตั้ง

ไพรมารี่โหวตจะสร้างความภาคภูมิใจให้คนในพื้นที่ ที่ได้ ผู้สมัครมาจากการมีส่วนร่วม ไม่ใช่ใครที่ไหนที่พรรคส่งลงมา

พร้อมส่งผู้สมัครส.ส.ทั้ง 350 เขต

แน่นอน ทุกคะแนนมีความหมาย ไม่ใช่แบบเดิมที่ผู้ชนะกินรวบ จะชนะกันแต้มเดียว ที่เหลือก็ทิ้งไปเลย

อนาคตใหม่ก็ต้องได้คะแนนบ้างในแต่ละเขต สมมุติให้ได้เขตละ 2,000-3,000 คะแนน ในเมืองน่าจะได้เยอะกว่าจากการใช้โซเชี่ยลมีเดีย เข้าถึงชนชั้นกลาง ก็น่าจะตกเขตหนึ่ง ถึงหลัก 10,000 คะแนน

ถ้าแบบนี้วางเป้าส.ส.ไว้กี่เก้าอี้

“เอาเฉพาะคะแนนดิบรวมทั้งหมดที่เอาไปใช้คำนวณหาจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี 40-50 คน น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าต่ำกว่านี้”

ถ้าอย่างต่ำ 2,000 – 3,000 คะแนน ต่อเขต อย่างน้อยก็ 20-30 คน ซึ่งบางที่คะแนนจะมากกว่านั้น หลักหมื่นก็ต้องมี

อย่าลืมว่า คนไทยไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งมา 7-8 ปีแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้คงไม่ไปฝักใฝ่กับประสบการณ์ในอดีต ที่แต่ละพรรคมีจุดอ่อน

“อย่างพรรคเพื่อไทย ก็มีเรื่องพ.ร.บ.เหมาเข่งนิรโทษกรรม ประชาธิปัตย์ ก็มีเรื่องกปปส. ชัตดาวน์กรุงเทพฯ”

2 พรรคใหญ่จึงไม่น่าจะมีส.ส.มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังจะลดลงอีก

กลุ่มเป้าหมายที่จะเทคะแนนให้อนาคตใหม่

คนที่จะได้ใช้สิทธิ์ครั้งแรก ประมาณกันไว้จะมี 7 ล้านเสียง ไม่ใช่น้อยๆ แม้จะไม่ได้เลือกพรรคเราหมดทุกคน แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นของอนาคตใหม่

“ตีว่า 5 ล้าน เอา 80,000 ที่เป็นจำนวนเสียง ที่จะได้ส.ส. 1 คน ก็ตก 40-50 คน”

และไม่ใช่แค่นี้ คนที่มาลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์อยากร่วมงานกับอนาคตใหม่ ก็ไม่ได้มีเฉพาะคนรุ่นใหม่ คนอายุ 60 ก็มี มันครอบคลุมทุกช่วงวัย จากอันดับที่สมัครเข้ามา คนอายุระหว่าง 20-30 ปี สมัครเข้ามาเยอะเป็นอันดับหนึ่ง

แต่ที่รองลงมาคืออายุ 52-64 ปี ซึ่งถือว่า เยอะมาก เขาเสนอตัวเข้ามาช่วย อาจจะเพราะเบื่อการเมืองแบบเก่าหรือเพราะอะไรก็ตาม แต่เขามีประสบการณ์หลากหลายที่อยากมาช่วย

ข้าราชการเกษียณก็เยอะ ข้าราชการที่ยังเป็นอยู่ก็มี เขาอาจเห็นความไม่ชอบมาพากล รับไม่ได้กับระบบระเบียบปัจจุบันที่เป็นอยู่

ข้าราชการหรือกลไกรัฐตอนนี้ถูกครหาเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบ อย่างโครงการไทยนิยมของรัฐบาลที่ใช้มหาดไทยเป็นเจ้าภาพ

เหมือนจะได้เปรียบ แต่อย่าลืมว่าประชาชนยุคนี้ไม่เหมือนเดิม “ประชาชนไม่ได้กินแกลบ” เขาก็รู้ ไปถามสิไทยนิยม คนรู้จักกี่คน ขนาดลงทุกพื้นที่

เจ้าหน้าที่ของรัฐ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาทำให้ใครเป็นส.ส.ไม่ได้ แต่ทำให้คนไม่เป็นส.ส.ได้ วิธีก็เช่น การสาดโคลน กฎหมาย บล็อกหัวคะแนน ซึ่งที่ผ่านมาก็บล็อกไม่อยู่ตั้งหลายที่ ยิ่งถ้ากระแสมันแรงมาก ก็เอาไม่อยู่

คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ยังเป็นเงื่อนไขที่บล็อกพรรคการเมืองทั้งเก่าใหม่อยู่

ต้องรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีความกล้าหรือไม่ แต่โดยหลักมันต้องปลดล็อกอยู่แล้ว

คำสั่งนี้ทำให้เกิดปัญหาพันกันเป็น “ลิงแก้แห” เดือดร้อนกันไปทั่ว พรรคที่สนับสนุน คสช.เองก็ได้รับความเดือดร้อน ไม่ใช่ไม่โดน แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้แฟร์เพลย์

โอเคเรารู้อยู่มันไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ คนถืออำนาจรัฐย่อมได้เปรียบ แต่ไม่ใช่ปิดตามัดมือมัดเท้าเขาชกอยู่ข้างเดียว

สำคัญที่สุดคือ เอาให้คนเลือกคุณก็แล้วกัน จะพลังชลจะนครปฐม ก็เอาให้ได้แล้วกัน

แต่ถ้าทำถึงขนาดนี้แล้วยังแพ้ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน จะได้รู้ประชาชนคิดอย่างไร “การรัฐประหารไม่ใช่วิถีทางแก้ปัญหาการเมือง”

มองพรรคทหารกับการสืบทอดอำนาจหลังการรัฐประหารอย่างไร

อนาคตใหม่ไม่เอาอยู่แล้วกับนายกฯ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตย ถ้าอยากได้ก็ลงเลือกตั้งเข้ามา ต้องมีสังกัด ไม่ต้องแอบๆซ่อนๆ ให้มันชัดเจนไป

ลงตั้งแต่ส.ส.เลย อย่างน้อยที่สุดหากไม่ได้ ก็ลงมาในบัญชี 1 ใน 3 นายกฯ เป็นสมาชิกพรรค แต่ต้องดูให้ดีว่า พรรคตัวเองได้สัก กี่แต้ม เกิดได้ไม่ถึง 25 คน ที่จะเสนอชื่อ นายกฯได้ จะทำยังไง นี่คือก๊อกหนึ่ง

ก๊อกสอง ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา คือ 500 คน ยกเว้นเพื่อจะเลือกนายกฯ คนนอก ก็ไม่ง่าย จะไปเอาเสียงมาจากไหน

แน่นอนมีส.ว. 250 เสียงแล้ว แต่จะไปเอาเสียงส.ส. 125 บวก 1 ให้มาโหวตเป็นนายกฯ จากไหน

ถ้าส.ส.เหล่านั้นนั่งกอดอกล่ะ จะเอาศักดิ์ศรีที่ไหนไปง้อเขา นี่ก็เป็นเดดล็อกรัฐธรรมนูญอีก หากส.ส.กอดอกไม่โหวตให้ ก๊อกสองก็มาไม่ได้อยู่ดี

หากเกิดขึ้น ก็เหลือสองทางคือ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ กับวิธีการมักง่ายคือ รัฐประหารอีก แต่คราวนี้คงไม่ยอมง่ายๆ แล้ว

“นี่คือเงื่อนตายที่เขาคิดไม่ถึง ก๊อกแรกอาจจะง่ายกว่า แต่ต้องสง่าผ่าเผยหน่อย ต้องเป็นสมาชิกพรรค แต่การเสนอชื่อ จะทำได้แค่พรรคเดียว ก็ต้องเลือกให้ดี เพราะต้องประกาศก่อนเลือกตั้งด้วย”

ทหารเรียนมาเพื่อเป็นทหาร ไม่ได้เพื่อเป็นนักการเมือง

“พวกนี้สอบตกวิชาประวัติศาสตร์”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน