6 ตุลาคม 2519 เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสังคมไทย
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชนจำนวนหนึ่ง อ้างว่านักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ใช่คนไทย และมีการซ่องสุมและสะสมอาวุธ จนนำมาสู่การล้อมปราบ เข่นฆ่า และทรมานอย่างทารุณ
อันมีภาพและบันทึกของผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตกทอดมาสู่สายตาชาวไทยและคนทั้งโลก จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
กระนั้น สาเหตุ แรงจูงใจ และตัวบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังเป็นปริศนาค้างคาใจ
แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเป็นเวลานานถึง 42 ปีแล้วก็ตาม
เพราะการไม่สรุปบทเรียนด้วยความเป็นจริงและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนร่วมชาติต้องสูญเสียไปตามมาอีกหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 มาจนกระทั่งถึงการล้อมปราบผู้ชุมนุมทางการเมืองด้วยการใช้อาวุธและกระสุนจริง จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ร่วม 100 ศพเมื่อปี 2553
หากจะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงมิให้เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้วนกลับมาเกิดขึ้นอีก สังคมไทยจะต้องเรียนรู้และสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ด้วยข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมา และกระบวนการยุติธรรมที่เที่ยงธรรม
ไม่ว่าในสังคมที่มีการปกครองแบบใด โอกาสที่จะเกิดความเห็นต่างด้วยอุดมการณ์ ผลประโยชน์ หรือสาเหตุอื่นๆ นั้นมีความเป็นไปได้อยู่เสมอ
แต่สังคมที่เป็นอารยะคือสังคมที่มีกระบวนการในการจัดการกับปัญหาและความขัดแย้งด้วยวิถีทางสันติ และเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองในอดีตอย่างตรงไปตรงมา เคารพในความเป็นจริงและข้อเท็จจริง
ไม่ว่าจะ 14 ตุลาคม 2516 ไม่ว่าจะ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ว่าจะพฤษภาคม 2535 ไม่ว่าจะพฤษภาคม 2553
จะต้องได้รับการสะสางให้ข้อเท็จจริงเปิดเผยโปร่งใส และหากจะต้องมีคดีความ
กระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องจะต้องตรงไปตรงมา