บทบรรณาธิการ

การออกคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ให้ตรวจสอบปัจจัยและเงื่อนไขการทำการค้าที่มีส่วนทำให้สหรัฐขาดทุนกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.7 ล้านล้านบาทนั้น มุ่งไปยังประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ

ประเทศที่ปรากฏชื่อในกลุ่มที่จะถูกตรวจสอบนั้น แม้จีนจะถูกจับตาเป็นพิเศษในฐานะชาติมหาอำนาจด้วยกัน แต่ในสิบกว่าประเทศนั้นก็มีไทยรวมอยู่ด้วย นอกเหนือไปจาก ญี่ปุ่น เยอรมนี เม็กซิโก ไอร์แลนด์ เวียดนาม อิตาลี เกาหลีใต้ อินเดีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย แคนาดา

หากดูตัวเลขทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐแล้ว ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ มาตลอดทศวรรษ รวมถึงปี 2559 ที่มีจำนวนเกินดุลมากกว่า 12,000 ล้านเหรียญ

แม้ว่าเบื้องต้นนี้สหรัฐแจ้งว่าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยจะวิเคราะห์สถานการณ์เป็นรายประเทศ และรายผลิตภัณฑ์ ไม่ได้มองทุกประเทศจงใจเอาเปรียบสหรัฐ

อีกทั้งยังคาดว่าสหรัฐยังต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกพักหนึ่ง ตามที่ผู้นำสหรัฐให้รายงานผลภายใน 90 วัน

แต่สิ่งที่อาจจะต้องเตรียมรับมือสิ่งที่อาจตามมา โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ของการตรวจสอบหนึ่งก็คือเรื่องการลดหย่อนผ่อนปรนด้านการค้า อันเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวกับไทยโดยเฉพาะ

ขณะที่สหรัฐเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย รองจากจีนและญี่ปุ่น ด้วยมูลค่าราว 36,550 ล้านเหรียญ และเป็นตัวเลขการส่งออกเกือบ 24,500 ล้านเหรียญ

แม้ว่าไทยจะเป็นพันธมิตรยาวนานของสหรัฐ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแล้วยาวนานที่สุด

แต่แนวโน้มการทำการค้าของรัฐบาลสหรัฐ ชุดปัจจุบันมุ่งปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศ จึงไม่แน่ชัดว่าการชั่งน้ำหนักด้านความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับความสัมพันธ์ทางการค้าจะเอนเอียงไปทางด้านใดมากกว่ากัน

และแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันมีแนวโน้มจะไม่มุ่งเน้นเงื่อนไขทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเท่ากับชุดก่อน

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่านิ่งนอนใจเลย โดยเฉพาะการติดโผที่ถูกตรวจสอบในครั้งนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน