ไม่ผ่อนคลายอดตายหมู่

คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ไม่ผ่อนคลายอดตายหมู่ – โฆษก ศบค. หมอทวีศิลป์ ตีปี๊บอีกครั้งว่า สถานการณ์ ดีขึ้นเพราะเคอร์ฟิวครบ 14 วัน แต่อย่าเพิ่งการ์ดตก สุขภาพต้องมาก่อนเสรีภาพ เอ๊ย มาก่อนการผ่อนคลาย สุดท้าย ยังชื่นชมการ “กระจายอำนาจ” ผู้ว่าฯ ออกคำสั่งเมืองใครเมืองมัน ทำให้ปกป้องพื้นที่สีเขียวสีเหลืองได้

หัวร่อตาย เคอร์ฟิวสี่ทุ่มถึงตีสี่จับโควิดได้ นี่ใช่เหตุผลทางสาธารณสุขหรือ ทำไมต้องยกความดีความชอบให้การตั้งด่านทหารตำรวจตรวจจับยามวิกาล ว่าทำให้ผู้ติดเชื้อลดลง

ถ้าจะยกความดีความชอบให้คำสั่งทางปกครอง ก็ต้อง ยกให้คำสั่งผู้ว่าฯ จังหวัดต่างๆ ทยอยสั่งปิดพื้นที่เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. ตามด้วยคำสั่งกักตัวผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ (ซึ่งก็ตัดสินใจช้าเกินไป)

ขณะเดียวกัน ต้องยกความดีความชอบให้ระบบสาธารณสุข ซึ่งนอกจากแพทย์พยาบาลทำงานหนัก ปัจจัยหลักคือระบบติดตามสอบสวนโรค ตั้งแต่ระดับกระทรวง จังหวัด ลงไปถึง อสม. เมื่อพบใครติดเชื้อ ก็ตามไทม์ไลน์ แจ้งผู้ใกล้ชิดผู้สัมผัสให้กักตัว

นั่นต่างหาก ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ใช่การ ตั้งด่านตรวจจับซึ่งมีผลควบคุมโรคน้อยมาก แต่ได้ผลงานจับกุม 10 วันขึ้นศาลเกือบหมื่นคดี ทั้งที่มีผู้ติดเชื้อ 2,600 กว่าคน

การแถลงข่าวเช่นนี้แหละ ที่ทำให้หมอทวีศิลป์ถูกวิจารณ์ ถูกกังขาว่าเอาความเป็นหมอมา Propaganda อำนาจฉุกเฉิน ทั้งที่ขัดกับเหตุผลทางสาธารณสุข

พูดอีกอย่างคือ การออกคำสั่งต่างๆ ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด มีความไม่ชัดเจนว่า เป็นการตัดสินใจของฝ่าย ใช้อำนาจ (ประยุทธ์,มหาดไทย,ผู้ว่าฯ) หรือเป็นไปตามคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุข (เช่น เคอร์ฟิว หรือการตั้งด่าน วัดไข้ ได้ผลคุ้มค่าหรือไม่)

แต่การตั้งหมอทวีศิลป์เป็นโฆษก ทำให้คำถามเหล่านี้ถูกกลบไปหมด (โดยยังไม่นับการที่คุณหมอล่วงไปพูดเรื่องไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข เช่น ผักสวนครัวรั้วกินได้)

ที่ยกเรื่องนี้มาตอกย้ำ เพราะโฆษก ศบค. ใช้ความเป็น (จิต)แพทย์มาตั้งการ์ดเรื่องการผ่อนคลาย ในขณะที่ภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่แค่นายทุน ประชาชนทั่วไปก็เรียกร้อง ให้แบ่งโซนเขียวเหลืองแดง เพื่อผ่อนคลายให้ทำมาหากินได้

ถามจริงว่า ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข วันนี้เราผ่อนคลายได้บ้างไหม ผ่อนคลายที่ไม่ใช่กลับมาเปิดห้างทั้งหมด เปิดผับเปิดบาร์ชาบูปิ้งย่าง แต่ยอมให้ทำมาหากินบ้างแบบรักษา ระยะห่าง

เมื่อวันจันทร์ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็บอกว่าบางพื้นที่สามารถผ่อนคลายได้ อาจเปิดร้านค้าร้านอาหารได้แต่ต้องจัดโต๊ะห่างกัน แต่สนามมวยสถานบันเทิงยังต้องปิดเด็ดขาด การเดินทางระหว่างจังหวัด ก็ต้องพิจารณาเป็นพื้นที่

ซึ่งอันที่จริงถ้าประชาชนพอเข้าใจสถานการณ์ ก็จะเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน มาจากผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยเดิม กับคนเดินทางกลับจากต่างประเทศ ที่มาจากคนเดินตลาดหรือชุมชนเหลือน้อยมาก แล้วปัจจุบันเราก็สวมหน้ากากกันหมด

ฉะนั้นถ้าผ่อนคลายบ้างเช่นเปิดร้านตัดผมทำผม (โดยมีมาตรการป้องกัน) แผงค้าสลาก ร้านวัสดุอุปกรณ์สำนักงาน วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ศูนย์บริการมือถือ ระบบสื่อสาร ร้านขาย ซ่อมอุปกรณ์โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว ฯลฯ ก็น่าจะทำได้ เพราะไม่แออัด เป็นสินค้าจำเป็น

แต่นั่นคือคำสั่งผู้ว่าฯ นนทบุรี ซึ่งวันรุ่งขึ้นต้องยกเลิก ไม่ทราบว่าใครกดดัน นครศรีธรรมราชจะให้เปิดร้านตัดผม ก็ต้องยกเลิกเช่นกัน

แล้วถ้าจำแนกตามพื้นที่ 9 จังหวัดไม่มีผู้ติดเชื้อ 25 จังหวัดไม่พบมา 14 วัน อันที่จริงแม้แต่ กทม.ปริมณฑล ก็พบจากผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยเดิมเกือบทั้งนั้น จะมีแต่ภูเก็ต กับ 4 จังหวัดชายแดนใต้ที่ยังเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

ถามว่าเปิดการเดินทางได้บ้างหรือยัง เพราะมันกระทบการติดต่อค้าขาย โดยเฉพาะรายย่อย ค้าขายข้ามจังหวัด ไม่ได้ จะตายกันหมดแล้ว

ก็น่าจะได้บ้าง ถ้าไม่ใช่พื้นที่เสี่ยง แต่หลายจังหวัด ก็ยังออก “ประกาศนครรัฐ” คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ตั้งด่านรถติดยาวเหยียด ทั้งที่จังหวัดข้างๆ ก็ไม่ได้เสี่ยงมากกว่ากัน

ศบค.อย่ามัวตั้งการ์ด ยกข้อมูลผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ ยังมี “ซอมบี้” เดินเพ่นพ่าน ปลุกความกลัวมาสู้กับกระแสเรียกร้องให้ผ่อนคลาย ในขณะที่การเยียวยาห้าพันบาท “เราไม่ทิ้งกัน” ก็ยังไม่มีคำตอบให้คน 18 ล้าน จนเกิดความไม่พอใจไปทั่ว

ไม่เยียวยา “ถ้วนหน้า” ก็ต้องผ่อนคลายให้ได้ทำมาหากินบ้าง ให้เดินทางได้บ้าง โดยใช้เหตุผลทางสาธารณสุข เป็นตัวนำ แล้วเปิดให้คนทำมาหากินยื่นข้อเสนอ ซักถาม หรือโต้แย้งบ้าง

อย่าตั้งการ์ด กั๊กการตัดสินใจ ไว้กับฝ่ายอำนาจ ซึ่งดูจะเชื่อแต่ว่าต้องคงด่านเคอร์ฟิวคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ให้นานที่สุด เสียมากกว่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน