ไลฟ์โค้ชสังคมป่วย – ฌอน บูรณะหิรัญ “ปลูกต้นไม้กับท่านประวิตร” ชมเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักจน “ทัวร์ลง” รอบแรกยังไม่เท่าไหร่ จนถูกทวงถามเงินบริจาคดับไฟป่า คำชี้แจงกลายเป็นหายนะ ทั้งเอามาบูสต์เพจ ทั้งถูกสงสัยตัวเลข ทำไมใช้บัญชีตัวเอง บอกว่าดับไฟป่าเชียงใหม่ กลับบริจาคให้ ร.ร. ร.พ.ทั่วประเทศ ฯลฯ

จากทัวร์ลงกลายเป็นสิบล้อขยี้ ทั้งทนายดังทั้งพี่ศรี มีหรือจะพลาดผ้าป่า ผู้หลักผู้ใหญ่โดดหนี ไม่มีใครเคยเห็นหน้า ป้อมไม่รู้จัก นฤมลไม่รู้จัก ไม่ได้จ้างมา ทหาร ตำรวจ จังหวัด ก็ไม่เกี่ยวนะ อย่ามาแอบอ้างเดี๋ยวจะเอาผิด

จากชมประวิตร กลายเป็นงั้นไป เรื่องมันก็ขำๆ เช่นนี้ในสังคมไทย จุดเริ่มจากคนไม่เอาประวิตร (ซึ่งน่าจะอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย) แต่พอฌอนกลายเป็นเหยื่อตัวใหญ่ กระแสสังคมได้ผู้ร้าย ก็ไม่แยแสป้อมอีกต่อไป ไม่สนใจต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ละเมิดสิทธิเสรีภาพ คุกคามนักศึกษาที่รำลึกคณะราษฎร #saveวันเฉลิม ฯลฯ สื่อสังคมออนไลน์ไม่เลือกขั้วเลือกฝ่าย ขอเอาฌอนให้จมดิน

อนิจจังวัฏสังขารา ไลฟ์โค้ชอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายดูไว้ ดราม่าสร้างคุณได้ก็ฆ่าคุณได้ในพริบตา

ทำไมคนต้องพึ่งไลฟ์โค้ช? น่าจะต้องแยกแยะก่อนว่า ไลฟ์โค้ชมี 2 จำพวก พวกหนึ่งเป็นเหมือนบริษัทที่ปรึกษา มีใบอนุญาต ให้บริการอบรมพัฒนา กระตุ้นศักยภาพ กำจัดจุดอ่อน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่นักธุรกิจ ผู้บริหาร หรือโค้ชทั้งหน่วยงานเหมือนทีมกีฬา (ค่าตัวจึงแพง)

พวกที่เราเห็นกันส่วนใหญ่ในโลกออนไลน์ น่าจะเรียกว่านักสร้างแรงบันดาลใจมากกว่า คือเป็นพวกใช้ถ้อยคำสวยหรู โดนใจคนวงกว้าง มีคนติดตามเป็นล้านๆ เปิดคอร์สอบรมสั้นๆ ใช้จิตวิทยารวมหมู่บิลด์อารมณ์ เหมือนงานสัมมนา ขายตรง ซึ่งโค้ชหลายคนก็แยกไม่ออกจากนักขายตรง

ไลฟ์โค้ชต่างจากจิตแพทย์ ข้อแรก จิตแพทย์จะพูดคุยแก้ปัญหาตัวต่อตัว ไม่ใช่เป็นกลุ่ม ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ข้อสอง คนไปหาไลฟ์โค้ชไม่ได้ป่วย แต่อยากรวย อยากประสบความสำเร็จ ข้อสาม คนไปหาไลฟ์โค้ช จำนวนมากก็ป่วยนั่นแหละ ซึมเศร้า แต่ไม่ยอมรับว่าป่วย

ไลฟ์โค้ชสร้างแรงบันดาลใจ หลายรายแล้วที่ตกม้าตาย เพราะใช้วิธีก๊อบคำพูดสวยๆ มาจากหนังสือ (ที่คนไทยไม่ค่อยอ่าน) เอามาขายความเท่ ทำให้คนหลงใหล แต่ตัวเองไม่มีความเข้าใจ ไม่ลึกซึ้ง พอถูกจับได้ว่า “เฟก” ก็พัง แม้ยังมีคนตามหลงใหลอยู่จำนวนหนึ่ง

ถ้าลองแยกแยะ ไลฟ์โค้ชใช้คำพูดเท่ๆ อย่างไรบ้าง ก็ไม่พ้น “คิดบวก” โดยอิงศาสนา อิงความเป็นไทย โลกสวย รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ประกอบสตอรี่ชีวิต เช่นฌอนเกิดและโตในอเมริกา เป็นคนเอเชียที่ถูกฝรั่งรังแก “ขุนเขา” ก็เคยออกคลิปขายหนังสือ “ประเทศไทย…แย่ที่สุดในโลก!?” เรียกร้องให้คนไทยเลิกด่าประเทศ ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆเพื่อสังคม

ยังจำ เบส อรพิมพ์ ได้หรือเปล่า ไม่รู้หายไปไหน หลังไปสร้างความไม่พอใจให้คนอีสาน

มาพิมพ์เดียวกันทั้งนั้น สตอรี่คนรุ่นใหม่ หวนกลับมา “คิดบวก” รักประเทศรักความเป็นไทย ทำให้คนรุ่นเก่าอนุรักษนิยมปลาบปลื้มน้ำตาไหล เชื่อว่านี่แหละตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ไอ้พวก “ชังชาติ”

อย่าแปลกใจที่ไลฟ์โค้ชดังๆ มักพลาดพลั้งทางการเมือง เพราะจุดขายคือการรีโนเวตความคิดอนุรักษนิยม เช่นโค้ชคนดังของดารา บ่นคนรุ่นหลังแทนพระนเรศวรว่า แค่รถติดด่าประเทศชาติ

โปรดสังเกต ไลฟ์โค้ชไม่สามารถหากินกับพวกลิเบอรัล เพราะลิเบอรัลไม่ฟังใครง่ายๆ ขนาดพวกเดียวกันยังเถียงกันวุ่นวาย

ไลฟ์โค้ชหากินได้เพราะอาศัย “สังคมป่วย” สังคมไทยครอบงำด้วยความคิดอนุรักษนิยมฉาบฉวย ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ยุค โซเชี่ยล ที่ห่างไกลชีวิตจริงออกไปทุกที

ระบบการศึกษา การอบรมบ่มเพาะ ไม่ได้สอนให้คิดด้วยตัวเอง ไม่ได้เปิดให้ถกเถียง สอนพุทธศาสนา แต่ก็สอนเฉพาะพุทธประวัติ หรือภาษาบาลีสันสกฤตทำข้อสอบ ไม่ได้สอนพุทธปรัชญา หรือปรัชญาอื่นๆ เปรียบเทียบ

คนเรียนจบปริญญาตรี โท เอก ก็คือได้เทคนิคทำมาหากิน ไม่ได้เรียนสังคมศาสตร์ ที่ให้รู้จักคิดวิเคราะห์ คนจำนวนมากเมื่อถึงวัยหนึ่งจึงเคว้งคว้าง เพราะชีวิตมีแต่ทำงาน บริโภค ดูละครหลังข่าว บ้างก็พากันไปเข้าสำนักสงฆ์ หรือหาความคิดความเชื่อต่างๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว บ้างก็เข้ามาในโลกโซเชี่ยล แล้วหาอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อปลอบประโลมใจ

โลกโซเชี่ยลจึงมีหลายด้าน มีทั้งสับสน ดราม่า เฮโลสาระพา หรือพาไปส่องผี บางจังหวะก็บ้าจี้ เช่นทวงถามความยุติธรรมให้น้องชมพู่ มีทั้งหลวงปู่หมอดูหมอผี ไล่ชี้คนนั้นคนนี้เป็นจำเลย

ระบอบตู่ก็อยู่ได้กับดราม่า แบบประวิตรลอยตัว ฌอน กลายเป็นเหยื่อตัวใหญ่ อย่างนี้นี่เอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน