รายงานของกรมชลประทานว่าด้วยเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม มีความสำคัญ
1 ส่งไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
1 ส่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เพราะว่ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คือ หน่วยงานที่จะต้องเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด
เก็บสถิติ จัดหางบประมาณ
ขณะเดียวกัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ พื้นที่ที่จะต้องรับผลสะเทือนจากการระบายน้ำออกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์โดยตรง
ก่อนที่ “มวลน้ำ” จะค่อยๆไหลละลิ่วไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังทะเล
สภาพความเป็นจริงที่ “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” ประสบเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เป็นอย่างไร
สำนักงานบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา ระบุว่า
ปริมาณน้ำที่ค้างอยู่บริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสุพรรณบุรีมี 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร
มากกว่าความจุเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
ที่มีความจุ 756 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ปริมาณน้ำเกิน ความจุเขื่อนแล้ว
สัญญาณ “เตือน” อันตามมา คือ
“ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำป่าสักให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หากมีความจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มอีกเนื่องมาจากมีฝนตกลงมาเพิ่ม
“กรมชลประทานจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆต่อไป”
ความเป็นจริงที่คนกทม.จักต้องรับทราบและตระเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก็คือ
1 น้ำที่เก็บกักในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์-ล้นเกินแล้ว
ขณะเดียวกัน 1 ทุ่ง 12 ทุ่งอันถือว่าเป็น”แก้มลิง”มีปริมาณทั้งสิ้น 1,361050 ล้านลิตร
“ล้นเกิน” เช่นเดียวกัน
จึงไม่เพียงแต่คนอยุธยา คนปทุมธานี คนนนทบุรี เท่านั้นที่ต้องตระเตรียมความพร้อม
หาก”คนกทม.”ก็ต้อง “เฝ้าระวัง”