คอลัมน์ หลอน

นทธี ศศิวิมล

การเดินทางมาที่นี่หลังจากไปนานเกือบสามสิบปี ไม่ทำให้ความรู้สึกผิด ละอาย และติดค้างต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

ปกรณ์ยังจำได้ดี ครั้งที่เขามาครั้งก่อนนั้น เขาเพิ่งทำงานรับราชการในกรมการปกครองได้สองสามปี พอดีมีวันลาพักร้อนยาวได้หลายวัน ก็เลยเลือกที่จะไปเยี่ยมและพักกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชื่อโดม ซึ่งเป็นคนภาคเหนือ เป็นลูกครึ่งแม่เป็นชาวไทยภูเขาแต่งกับพ่อคนไทยพื้นราบ พอเรียนจบก็ไปทำงานเป็นพัฒนาการอยู่ที่หมู่บ้านเดิมของตัวเอง ซึ่งอยู่บนเขา และยังมี ชาวไทยภูเขาที่ยังอยู่และมีธรรมเนียมแบบเดิมเหลืออยู่บ้าง

คืนนั้น โดมชวนปกรณ์ไปแอ่วสาว ซึ่งพอปกรณ์ได้ยินทีแรกก็ตกใจ “เฮ้ย เที่ยวผู้หญิงบนดอยเนี่ยนะ ไม่ดีมั้ง”

โดมหัวเราะลั่น “ไอ้บ้า แอ่วสาวไม่เหมือนเที่ยว ผู้หญิง แปลว่า ไปเที่ยวบ้านสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงานน่ะ ไปพูดคุยกับเขา จีบเขาในสายตาพ่อแม่อะไรอย่างงี้ ป่ะๆ ลองดูจะได้รู้”

ปกรณ์งงๆ แต่ก็ยอมตามไปแต่โดยดี คืนนั้นโดมพาปกรณ์ไปบ้านสาวน้อยหลายคน ที่ยังโสด พวกเธอจะเอาผ้ามานั่งปักหรือทำงานจักสานโดยจุดตะเกียงไว้ที่ชานหน้าบ้าน หนุ่มๆที่มาถ้าพ่อแม่โอเคก็จะได้รับเชิญให้ขึ้นไปนั่งคุยกันที่ชาน แต่ถ้าเฉยๆหรือไม่ค่อยโอเคก็ต้องยืนข้างล่างแล้วคุยกันแหงนๆแบบนั้น

บ้านสุดท้ายของคืนนั้นคือบ้านของสาวสวยดาวของหมู่บ้านที่ชื่อไทยว่าเอื้องผา ที่พอปกรณ์เห็นหน้าครั้งแรกก็แทบหัวใจจะหยุดเต้นเอาให้ได้ เธอรวบผมมวยเรียบตึงประดับดอกไม้ดอกเล็กๆ หน้าใส สดสวยเปล่งปลั่ง คอยาวระหง ลูกผมที่เคลียหน้าผากและผิวแก้มยิ่งทำให้ดูอ่อนเยาว์น่าทะนุถนอมไปอีก จมูกปากเล็กบางจิ้มลิ้ม ดวงตาสองชั้นเรียวโตเหมือนตาหงส์ ขนตายาวเป็นแพ เวลาชำเลืองสะเทิ้นอายแต่ละที ปกรณ์แทบจะลืมหายใจ สวยดูสูงค่า สมชื่อเอื้องผา ที่งามตระหง่านเกินเอื้อมอยู่บนผา

โดมเห็นปกรณ์ชอบก็หลีกทางให้ ตัวเองไปหาแอ่วสาวบ้านอื่นต่อ ในขณะที่ปกรณ์มาทุกคืน โดยต้องเผื่อเวลารอหนุ่มคนอื่นที่เวียนมาไม่ขาดสายกลับก่อน ซึ่งก็ดึกดื่น และก็กลับกลายเป็นผลดี เพราะบางทีพ่อกับแม่เอื้องผาง่วงนอนกันแล้วก็จะขอตัวเข้านอนก่อน ทำให้กระบวนการจีบของปกรณ์เป็นไปได้ราบรื่นขึ้นอีก

ช่วงเวลาเหล่านั้นปกรณ์ไม่ได้นึกถึงการเที่ยวพักผ่อนอย่างอื่นในช่วงพักร้อนเลย เอาแต่เฝ้าเร่งกลางวันให้ผ่านไป รอกลางคืนจะได้ไปหานางในดวงใจ ซึ่งเอื้องผาคนงามแม้จะไม่ค่อยพูดค่อยจาแต่ก็ดูท่ามีใจอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเข็มตำมือไปหลายรอบ สำนวนสำเนียงผู้ชายแถวนี้ที่ไหนจะมาสู้หนุ่มข้าราชการกรุงเทพฯ ผิวพรรณท่าทางก็ดูสง่างามมั่นใจกว่า

ปกรณ์หลงรักจนไฟรักแผดเผาร่างกายจนเพ้อ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในวันสุดท้ายของการลาพักร้อนรอบนั้น เขาออกปากนัดแนะเอื้องผาให้ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ บอกเธอว่าหากเธอมีใจให้ กับเขาขอโอกาสให้เขาได้ดูแลเธอ พรุ่งนี้เวลาสิบโมงเช้า ให้เธอไปรอที่ศาลารอรถริมทางหลวง เขาจะมารับ

คืนนี้ปกรณ์กลับมานอนกระสับกระส่าย ไม่หลับทั้งคืน จนตอนเช้าคิดตก เหงื่อแตกท่วมตัว เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวเอง การลักพาหญิงสาวไปอยู่ด้วยไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไหนจะพ่อแม่เธอ พ่อแม่เขา จนในที่สุดปกรณ์เปลี่ยนใจ จะแอบหนีไปกทม.คนเดียว

แต่ก่อนกลับยังอยากเห็นหน้าสักครั้ง เขาเลยใช้วิธีนั่งรถโดยสารผ่านศาลานั้นและมองผ่านช่องเล็กๆ ของม่าน เวลาราวบ่ายโมง เขาเห็นหญิงสาวยังคงนั่งรอ เหงื่อท่วมตัว หน้ามันแดง ท่าทางกระวน กระวาย เวทมนตร์ของแสงตะเกียงยามดึก หายไป เธอดูเป็นหญิงสาวธรรมดาที่สวยแต่ก็มีอยู่ดาษดื่นเต็มกรุงเทพฯ ปกรณ์ตัดใจได้ทันทีเพราะที่หลงเธอแต่แรกก็หลงเพียงรูปอยู่แล้ว

วันเวลาหลังจากนั้น ยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ความรู้สึกผิดยิ่งท้นทวี ปกรณ์ใฝ่ฝันจะได้กลับมาขอโทษเธออีกสักครั้ง แต่นี่ก็ล่วงมาถึงสามสิบปี เธอคงไปถึงไหนต่อไหน

ปกรณ์ติดต่อโดม และถามข่าวเอื้องผา และได้ทราบข่าวร้ายว่าเธอเสียชีวิตไปเสียแล้วด้วยโรคไข้มาลาเรีย หลังจากที่เขากลับกทม.ไม่นาน

“เออ พูดถึงแล้วก็สงสาร ตั้งแต่แกไปแม่คนงามก็รอแกมาตลอดนะ ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ บาป กรรมแท้ๆ หลอกคนงามรอจนวันตายทั้งยังสาว ยังแส้ไม่มีผัวสักคน”

ปกรณ์ผ่านศาลานั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น ศาลายังอยู่ แต่เปลี่ยนไปให้ทันสมัย มากขึ้น เขาสะดุ้งโหยงจนต้องจอดรถขยี้ตา เมื่อเห็นหญิงสาวคล้ายเอื้องผา นั่งมองมาที่ถนนด้วยท่าทางกระวนกระวายเหมือนกำลังรอใคร แต่พอ ดูดีๆ ก็ไม่มีใครสักคน

ปกรณ์ถอนหายใจ ขับรถจากมา แต่แล้วก็ต้องขนลุกทั้งตัว เสียวสันหลังวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นภาพสะท้อนจากกระจกเห็นเงาร่างหญิงสาวมวยผมสูงลำคอระหงนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง

เธอเอียงตัวชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “เอื้องรู้ ว่ายังไงพี่ต้องมา พี่ต้องรักษาสัญญา ต่อไปนี้ขอโอกาสให้เอื้องได้ดูแลพี่เองนะจ๊ะ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน