‘มหาประยุทธภัย’ พิธาฉะยับ

อัดบิ๊กตู่ใช้20ล้านล.แก้ศก.เหลว

ศาลฯไม่รับคดีธรรมนัส-สิระก็เฮ

ปปช.ฟันอาญา‘ปู’ย้ายถวิลมิชอบ

‘มหาประยุทธภัย’ พิธาฉะยับ – ฝ่ายค้านชำแหละร่างพ.ร.บ. งบฯปี 64 แจกสารพัดหวังผลทางการเมือง เอื้อนายทุน-พวกพ้อง ‘พิธา’ ฉะ‘มหาประยุทธภัย’ ทำเศรษฐกิจไทยวิกฤต ถล่มกลาโหมตั้งงบลวงพราง ข้องใจซื้อเรือดำน้ำ เอาไปรบกับใคร ‘ยุทธพงศ์’ จี้ลาออก รับผิดชอบเหมือนนายกฯสิงคโปร์ ‘สมพงษ์’ ขู่ถ้าไม่ปรับแก้คงไม่ให้ผ่านสภา

‘บิ๊กป้อม’ ป้องเด็กพปชร. ตะเพิด ‘สมคิด’ อ้างส.ส.กลัวตกงาน เรียกคุยแกนนำพรรค กำชับห้ามแบ่งกลุ่ม ‘บิ๊กตู่’ เตือนพูดเบาๆ หน่อย ศาลรธน.ไม่รับถอดถอน ‘ธรรมนัส’ ปมเมียถือหุ้น พร้อมมีมติ 7 ต่อ 1 คงสมาชิกภาพส.ส.สิระ ป.ป.ช.ฟัน ‘ยิ่งลักษณ์’ ผิดม.157 ย้าย ‘ถวิล เปลี่ยนศรี’ มิชอบ

3ป.พร้อมหน้า-ตบเท้าเข้าสภา

เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 1 ก.ค. ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้ามายังอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มาถึง คาดว่าทั้ง 3 คนได้พบปะพูดคุยกันก่อนเข้ารัฐสภา ซึ่งเป็นปกติของทุกวัน

ผู้สื่อข่าวถามถึงฝ่ายค้านระบุการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2564 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 พล.อ. ประยุทธ์ไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมชี้นิ้วไปยังห้องประชุมสภา ก่อนขึ้นลิฟต์ไปทันที

ขณะที่ส.ส.ทยอยมาร่วมประชุม รวมทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน

บิ๊กป้อมป้องเด็กพปชร.ไล่สมคิด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงสมาชิกพรรคพูดขับไล่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ระบุหมดยุคคุมเศรษฐกิจแล้วว่า ความคิดของคนคนเดียว อย่าไปพูดหลายคน แต่เป็นเรื่องในพรรค ต้องคุยกัน เมื่อถามว่าได้คุยกับนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่พูดเรื่องนี้หรือไม่

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะคุยเรื่องอะไร เขาไม่ได้ตะเพิด สื่อใช้คำพูดมากไป ทำให้คนเกลียดกัน เรื่องนี้บอกเขาแล้ว ไม่เป็นไร เป็นเรื่องภายในพรรค ที่ออกมาพูดเขาคงไม่เข้าใจ แต่เข้าใจว่าจะไปยุบสภา ทำให้เขาไม่มีงานทำ เขาคงกลัวตกงาน แต่เชื่อว่านายสมคิดจะเข้าใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่านายอุตตม นายสนธิรัตน์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม จะยังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ไปถามนายกฯ เมื่อถามย้ำว่าทั้งหมดจะยังอยู่กับพรรคต่อหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ไปคุยในพรรค จะไปรู้ได้อย่างไร

เรียกถกแกนนำ-ย้ำรักษาภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่าย พล.อ. ประวิตร ได้เรียกประชุมแกนนำและกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) เป็นการภายใน ที่ทำการพรรคอาคารรัชดาวัน อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายวิรัช รัตนเศรษฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค เพื่อซักซ้อมข้อมูลและเตรียมพร้อมประชุม ส.ส.ในสัปดาห์หน้า

รวมทั้งกำหนดวันประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยมาจากกก.บห. 4 คน และมีตัวแทนจากสมาชิกพรรค 7 คน รวม 11 คน ซึ่งคณะกรรมการสรรหาฯ ชุดนี้จะทำหน้าที่ครั้งแรก คัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้งส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ เบื้องต้นกำหนดวันประชุมใหญ่วิสามัญวันที่ 10 ก.ค.ที่ทำการพรรค

รายงานข่าวจากที่ประชุมแกนนำ พปชร. เผยว่า พล.อ.ประวิตร ย้ำในที่ประชุม ขอให้ทุกคนรักสามัคคีกัน ไม่แบ่งกลุ่ม เป็นหนึ่งเดียวและให้ยึดถือกฎระเบียบ เพื่อให้พรรคเติบโตในวันข้างหน้า และต้องทำงานสนับสนุนรัฐบาล ที่สำคัญต้องระวังและต้องรักษาภาพพจน์ของพรรคและรัฐบาล การหารือในวันนี้ไม่ได้พิจารณาแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรค 9 คนแต่อย่างใด

‘บิ๊กตู่เตือนชัยวุฒิเบาๆหน่อย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากอาคารัฐสภาว่า จากกรณีนายชัยวุฒิ ออกมาไล่นายสมคิด ออกจากตำแหน่ง ปรากฏว่าระหว่างประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 พล.อ.ประยุทธ์ ได้เจอกับนายชัยวุฒิ จึงบอกกับนายชัยวุฒิว่า “ให้เบาๆ หน่อย ยังไงก็อยู่ด้วยกัน”

สมคิดแจงครม.ถูกโยงการเมือง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า นายสมคิดได้เล่าในที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. โดยยอมรับว่าพูดจริงถึงกรณีรัฐบาลสิงคโปร์ยุบสภาเพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่เพื่อเลือกตั้งใหม่ ให้ได้รัฐบาลมีประสิทธิภาพ แต่มีคนนำไปโยงว่าเป็นการพูดมีนัยยะ อยากแนะนำกรณีของไทย ซึ่งนายสมคิดยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีส.ส.พรรคพปชร.บางส่วนตอบโต้นายสมคิด รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ไปถามเขาเอง อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมครม.ไม่มีการพูดถึงเรื่องยุบสภา

วิษณุยัน‘ตู่’ไม่เคยพูดปรับครม.

เมื่อถามถึงกระแสข่าวรายชื่อครม.ลงตัวหมดแล้ว รวมทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่รัฐมนตรี นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบเลย และระหว่างร่วมประชุมสภา ได้พูดคุยกับพล.อ. ประยุทธ์ ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว อีกทั้งการปรับครม. นายกฯ ก็ไม่จำเป็นต้องมาพูดคุย หรือหารือกับตน และการสรรหารัฐมนตรี เป็นไปได้ที่นายกฯ จะพิจารณาเพียงคนเดียว ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นขั้นตอนทางธุรการของเลขาธิการครม. จึงไม่ทราบจริงๆ

นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการครม. ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวส่งรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีใหม่ให้สำนักเลขาธิการครม. (สลค.) ตรวจสอบคุณสมบัติเรียบร้อยแล้วว่า ยืนยันว่านายกฯ ยังไม่ได้ส่งรายชื่อมาให้ตรวจสอบ และเรื่องรายชื่อนั้นเป็นเรื่องของพล.อ. ประยุทธ์ ตนไม่ทราบ

‘บิ๊กตู่’ชี้พิษโควิด-จีดีพีต่ำกว่าเป้า

เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงงิน 3,300,000,000,000 บาท (3.3 ล้านล้านบาท) ที่ครม.เป็นผู้เสนอ ในวาระแรก

พล.อ.ประยุทธ์ แถลงนำเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0-5.0 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยเกิดจากฐานการขยายตัวที่ต่ำกว่าปกติในปี 2563 และแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของความต้องการจากภาคต่างประเทศภายหลังการระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลายลง

รวมถึงการฟื้นตัวของฐานรายได้จากการส่งออก การท่องเที่ยว การผลิตภาคเกษตร และแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐ ทั้งการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณ งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ และการเบิกจ่ายภายใต้พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

นายกฯ กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง และเสี่ยงที่จะ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากการระบาดของ โควิด-19 ยืดเยื้อและมาตรการควบคุมของประเทศต่างๆ ขยายเวลาออกไป หรือปัญหาในภาคการผลิตลุกลามไปสู่วิกฤตทางการเงินการคลังในต่างประเทศ

รวมทั้งมาตรการกีดกันทางการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกันมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในกรณีการระบาดของโควิด-19 ยุติลงได้อย่างสิ้นเชิงภายในไตรมาสแรกของปี 2564

ย้ำหนี้สาธารณะไม่เกินกรอบ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ในปี 2564 รัฐบาลประมาณการว่าจะจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมทั้งสิ้น 2,798,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.2 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 121,000 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่นำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล 2,677,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 ของจีดีพี สำหรับงบปี 2564 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาท

เป็นการดำเนินนโยบายงบแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ 2,677,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบ 623,000 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 76.5 รายจ่ายลงทุน 674,868 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.5 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 99,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3

สำหรับหนี้สาธารณะคงค้างวันที่ 31 มี.ค.2563 มี 7 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41.7 ของจีดีพี อยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 โดยหนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินโดยตรงและการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล มีทั้งสิ้น 6.5 ล้านล้านบาท

เน้นฟื้นฟูศก.-สร้างรายได้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ควบคู่กับส่งเสริมการสร้างรายได้ของประชาชน เพื่อกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง โดยนายกฯ ใช้เวลานำเสนอ 1 ชั่วโมง 30 นาที

สมพงษ์ซัดจัดงบสารพัดแจก

เวลา 11.05 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา อภิปรายว่า ขณะนี้ประเทศเผชิญวิกฤตโควิด-19 แต่นายกฯ ไม่ได้เอ่ยถึงวิธีการแก้ไขว่าจะทำอย่างไร และจะนำประเทศไปสู่อีกวิกฤตหนึ่งคือวิกฤตเศรษฐกิจ เท่าที่ตนอ่าน ไม่ได้ตอบโจทย์เลย ยังคงใช้วิธีจัดทำงบแบบเก่าๆ และไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ มุ่งก่อสร้างขุดลอกคูคลอง รวมถึงการจัดอบรมต่างๆ ที่เสมือนทำผ่านไปวันๆ เหมือนที่เคยทำมาทุกปี

อนาคตของไทยจะก้าวไปในทิศทางไหน จะรองรับธุรกิจที่จะเกิดขึ้นใหม่จากพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่อย่างไร เราจะเอาประเทศไทยไปอยู่ส่วนไหนของห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก

นายสมพงษ์กล่าวว่า งบปี 2564 ควรถูกใช้สร้างทักษะเพื่อสร้างงานที่มีผลผลิตต่อหน่วยสูง เพื่อให้คนไทยมั่งคั่งขึ้นแบบถาวรและยั่งยืน งบต้องไม่ถูกใช้ไปแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล

โดยใช้นโยบายสารพัดแจกเพื่อหวังผลด้านคะแนนเสียงและความนิยม ไม่อยากเห็นนโยบายแจกเงินไปเที่ยว รวมถึงบัตรสวัสดิการต่างๆ ของรัฐที่จะเป็นทางผ่านของเม็ดเงินไปสู่กลุ่มทุนใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาล เป็นมาตรการเพื่อพวกพ้องโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ประเทศจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจ

“งบประมาณฉบับนี้เรียกได้ว่า สักแต่ทำให้เสร็จๆ อีกครั้ง ซึ่งเป็นอันตรายกับประเทศ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเช่นนี้ หากรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ และหากไม่นำกลับไปแก้ไข ผมก็ไม่อาจสนับสนุนงบฉบับนี้ให้ผ่านไปได้” นายสมพงษ์กล่าว

ฉะจัดงบแบบฮั้ว-เร่ขายนายทุน

เวลา 11.20 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคพท. อภิปรายว่า ไม่มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯครั้งไหนที่ตนห่วงใยและกังวลมากเท่าครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวสร้างหนี้ไว้มากกว่าคนอื่น 18 เท่า ดังนั้น ฉายานักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากกู้เงินมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบฯ จะรวมประมาณ 2.791 ล้านล้านบาท ต้องใช้เวลาชำระคืน 64 ปี แต่ถ้าเอาเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เข้ามารวมด้วยและรวมหนี้ที่ต้องกู้ในงบฯปี 2565 ต้องใช้เวลาชำระคืนกว่า 100 ปี

ส่วนการขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไป นายกฯทราบหรือไม่ว่าสร้างอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและไม่ก่อประโยชน์ นายกฯ ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้เห็นและได้รับฉายา บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้

“พรรคได้ตรวจสอบเชิงลึกในกฎหมาย งบฯฉบับนี้แล้วพบว่า ในเนื้อหาผมฟันธงได้เลยว่า ท่านจัดทำงบฯไว้ก่อนวิกฤตโควิด และจงใจไม่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับการใช้จ่าย งบฯหลังโควิด การจัดทำงบแบบนี้เหมือนการฮั้วประมูล เพราะทำกันมาตั้งแต่ชั้นร่างงบฯ

ซึ่งในรายละเอียด พบว่าส่อทุจริต ล็อกสเป๊กเอื้อประโยชน์พวกพ้องและกลุ่มทุน เหมือนรัฐบาลกลายเป็นพ่อค้าหาบเร่ เร่ขายงบฯ ให้กับกลุ่มทุน ผมเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะสัดส่วนของงบฯและการจัดสรรงบฯไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของประเทศ สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการ ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

‘บิ๊กตู่’เมินฉายาผู้นำก่อหนี้

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลมองสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศและอนาคต ตนพูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำและทำอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่ารายละเอียด กระทรวงต่างๆ จะเป็นคนทำแผนงานและเสนอมา หากไม่เข้าเกณฑ์ก็ไม่อนุมัติ

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนงบฯทหารนั้น ตนยังยืนยันว่าทหารไทยกับทหารต่างประเทศมีภารกิจต่างกัน ทหารไทยต้องดูแลประเทศ ดูแลชายแดน ดังนั้น ขอให้ดูกฎหมายทุกตัว ไม่ใช่ดูแค่พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นวันนี้จะมานั่งประชุมสบายๆ แบบนี้ได้หรือไม่ ขณะที่ฉายาที่ตั้งให้นั้น ตนก็ไม่อยากให้ฉายาท่านกลับเหมือนกัน

พิธาชี้เป็น‘มหาประยุทธภัย’

เวลา 12.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ปี 2564 นอกจากประชาชนจะทุกข์แสนสาหัส ยังต้องบันทึกด้วยว่าเป็นปีที่พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบฯครบ 20 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องยาวนานมากที่สุดตั้งแต่บริหารประเทศยึดอำนาจปี 57 ถึงปัจจุบัน

‘มหาประยุทธภัย’ พิธาฉะยับ

แต่น่าแปลกใจที่พล.อ.ประยุทธ์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้น้อยมาก การแก้ปัญหาที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยดื้อยาขนาดหนัก เป็นมหาประยุทธภัย แม้จะถมงบฯไปเท่าไร เศรษฐกิจก็ไม่เต็มไม่กระเตื้อง หากแก้ปัญหาแบบเดิม งบฯแบบเดิม แล้วคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์แบบใหม่คงเป็นไปไม่ได้ และน่าเสียดายที่งบฯปี 64 เป็นการจัดงบฯเหมือนประเทศไทยไม่มีวิกฤต ไม่แตกต่างจากปี 63

นายพิธากล่าวว่า สถานการณ์ทั้งรายจ่ายและรายได้ของประเทศหนักหนาสาหัส การใช้จ่ายเงินต้องคุ้มค่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของเรือดำน้ำ ไม่ใช่เวลาของกระสุนปืน แต่เป็นเวลาของวัคซีน การสร้างงาน ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม รัฐบาลคือความหวังสุดท้ายของประชาชน ประเทศจะรอดได้ รัฐบาลต้องใช้เงิน หาเงิน และกู้เงินเป็น ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นและคุ้มค่า เราต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทดแทนการกินบุญเก่าของอุตสาหกรรมเก่าๆ รวมถึงการหาฐานภาษีใหม่ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลที่กำลังจะถังแตก

นายพิธากล่าวอีกว่า ฝากถึงรัฐบาลต้องบริหารให้เกิดความน่าเชื่อถือ สร้างเสถียรภาพให้ประเทศ กู้เพื่อหารายได้ให้ประเทศ ถ้ากู้เพื่อแบ่งเค้กคอร์รัปชั่นกินกันเอง ปราบปรามประชาชนที่เห็นต่าง เศรษฐกิจจะยิ่งวิกฤตไปกันใหญ่ ขอฝากคำถามถึงนายกฯ ว่าจะแก้วิกฤตได้อย่างไร เพราะงบฯปี 64 ยังร่างมาเหมือนประเทศไม่ได้อยู่ในวิกฤต โลกปรับแต่ไทยไม่เปลี่ยน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนจึงไม่สามารถเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ในวาระแรกได้

ถล่มกลาโหมตั้งงบลวงพราง

ต่อมาเวลา 15.30 น. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอเรียกงบฯของกระทรวงกลาโหมว่า งบลวงพราง เพราะ 1.ลวงว่าลด แต่ไม่ได้ลด ปี 64 กระทรวงกลาโหมได้งบ 223,000 ล้านบาท ดูเหมือนได้รับงบฯลดลง 8,200 ล้านบาท อีกทั้งพ.ร.บ.โอนงบฯปี 63 กระทรวงกลาโหมยังโอนงบฯคืนไป 17,700 ล้านบาท

แต่ปรากฏว่างบฯ ปี 2564 กระทรวงกลาโหมได้งบฯที่ถูกโอนไปคืนมา 1 หมื่นล้านบาท มี 6 โครงการซื้ออาวุธที่ถูกตัดออกไป กลับไปอยู่ในงบฯปี 64 เช่น โครงการเรือดำน้ำ การซื้อเครื่องบินกองทัพอากาศ

2.อำพรางงบผูกพัน มีการก่องบผูกพันมากมายมหาศาล เป็นราชาเงินผ่อน กระทรวงกลาโหมมีภาระต้องจ่ายงบผูกพันทุกโครงการสูงถึง 173,144 ล้านบาท เป็นความเสี่ยงทางการคลังที่ต้องพึงระวัง โดย 22 โครงการเป็นงบผูกพันซื้ออาวุธ เกือบ 4,400 ล้านบาท และโครงการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน 1 พันกว่าล้านบาท เหตุใดไม่ชะลอไปก่อน คิดได้อย่างเดียวคือ เค้กก้อนนี้แบ่งกันกินเรียบร้อยแล้ว ยกเลิกไม่ได้

3.ธุรกิจอำพราง อาทิ รายได้จากสนามกอล์ฟ สนามมวย โรงแรม ปั๊มน้ำมัน สนามม้า เชื่อว่าธุรกิจเหล่านี้ ไม่มีใส่เข้ามาในเงินนอกงบฯของกองทัพ ไม่ส่งคืนคลัง ควรนำธุรกิจเหล่านี้มาอยู่บนโต๊ะ ให้โปร่งใส ถ้าไม่เปิดเผยแสดงว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่สามารถเปิดเผยได้

‘ตู่’ย้ำต้องซื้ออาวุธใหม่

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า การจัดซื้อ ยุทโปกรณ์ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้แล้วได้เดือนหน้า ไม่ใช่ เพราะต้องผลิตใหม่ขึ้นมา รัฐบาลเข้าใจความห่วงใยของสมาชิก ตนในฐานะรมว.กลาโหมจะทำให้ดีที่สุด ขอความเข้าใจกันบ้าง ลูกหลานก็เป็นทหารกันก็ต้องห่วงใยเขา ถ้าเราไม่มียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ป้องกันตัวเองได้ ขณะที่อาวุธต่างๆ ร้ายแแรงมาก อาจทำให้เกิดความสูญเสียของลูกหลานของพวกเราได้

‘โจ้’โวยหมกเม็ดซื้อเรือดำน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายในช่วงบ่ายและเย็น ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลสลับกันอภิปราย กระทั่งเวลา 18.30 น. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า งบฯปี 64 ไม่ตอบโจทย์การแก้ไขโควิดและปัญหาเศรษฐกิจ แทนที่จะเอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยคนตกงาน กลับเอาไปซื้อเรือดำน้ำ ซื้ออาวุธ ถึงวันนี้รัฐบาลยังปล่อยให้เอกชนช่วยเหลือตัวเอง

ขอยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่โควิดหนักมาก แต่รัฐบาลช่วยเหลือภาคเอกชนอย่างเต็มที่ นายกฯสิงคโปร์ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แล้วนายกฯไทยทำอะไรอยู่ วันนี้มีคนฆ่าตัวตาย ไปร้องไห้ที่กระทรวงการคลัง นายกฯไม่แสดงความรับผิดชอบเหมือนสิงคโปร์

นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ขนาดมีโควิด งบฯกองทัพเรือยังเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีกพันกว่าล้าน เฉพาะปีนี้ได้ 4.8 หมื่นล้านบาท เรือดำน้ำ 2 ลำก็ไม่ได้หยุดซื้อ แค่ชะลอไม่ซื้อในปี 63 มาซื้อในปี 64 ทั้งที่ตัดทิ้งได้แต่ไม่ตัด ทั้งนี้ ในหนังสืองบประมาณของกองทัพเรือ หน้า 722 ข้อ 2.3.1 โครงการผูกพันตามสัญญาตามมาตรา 41 จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท

ไม่มีรายละเอียดโครงการ หมกเม็ด แต่เอาเรือดำน้ำซ่อนอยู่ในงบฯนี้ ประชาชนประสบภัยแล้งและโควิดแต่กลับไม่มีเงินช่วยเหลือ หากนายกฯ เห็นแก่ประเทศ ต้องเลิกเอางบ 2.2 หมื่นล้านไปซื้อเรือดำน้ำ เอามาช่วยประชาชน และวันที่ 8 ก.ค. ที่จะประชุม ครม. หากนายกฯ และครม.เอารถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าไปต่อสัญญาอีก 40 ปี ตนร้องป.ป.ช.สอบครม.ทั้งคณะ และขอตั้งเลยว่างบฯปี 64 เป็นงบฯเรือดำน้ำ ไม่ใช่งบฯโควิด นายกฯที่ชื่อประยุทธ์คือนายกฯ เรือดำน้ำจีน ไม่ใช่นายกฯเพื่อคนไทย

บิ๊กช้างแจงซื้อเพื่อสร้างดุลอำนาจ

จากนั้นพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นโครงการปี 2563 แต่ต้องชะลอไว้ เพื่อ โอนงบฯเข้าสู่งบกลาง นำไปช่วยโควิด จึงต้องมาดำเนินการในปี 2564 แทน ซึ่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจทางทะเลของประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ถือว่าสำคัญมาก เป็นการสร้างดุลอำนาจทางทะเล มีถึง 4 ประเทศอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ

ซึ่งการจัดซื้อแต่ละครั้งมีระยะเวลาดำเนินการ ซื้อปีนี้กว่าจะเสร็จเข้าประจำการได้ใช้เวลาอีก 6-7 ปี หากเริ่มโครงการในปีงบฯ 2564 จะได้เรือในปี 2569 แม้จะไม่ได้เอาไปรบกับใคร แต่เป็นการรักษาความมั่นคงทางทะเล เป็นยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ

ในการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศที่มีสูงถึง 24 ล้านล้านบาท โดย 95 เปอร์เซ็นต์ของสินค้า ล้วนขนส่งทางทะเล ขณะนี้มีเรือผ่านน่านน้ำไทยสูงถึง 15,000 ลำต่อปี และมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปีด้วย ดังนั้น การจัดซื้อเรือดำน้ำจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ทางทะเล เป็นยุทธศาตร์ของกองทัพเรือ จัดซื้อโปร่งใส ตรวจสอบได้

ศาลรธน.ไม่รับถอดถอน‘ธรรมนัส’

เมื่อเวลา 14.30 น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัยโดยมีมติไม่รับคำร้องกรณีประธานสภา ส่งความเห็นของส.ส. 54 คน ขอให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (2) และ วรรคสาม หรือไม่ จากกรณีภรรยาของร.อ.ธรรมนัส ถือครองหุ้นในบริษัท ตลาดคลองเตย (2551) จำกัด

และบริษัทดังกล่าว ทำสัญญาเช่าพื้นที่กับการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง โดยศาลเห็นว่า การทำสัญญาดังกล่าวไม่มีลักษณะทำสัญญาอันเป็นการผูกขาดตัดตอน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง(2) และวรรคสาม มูลกรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยเหตุตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) ที่ประธานสภาจะขอให้ศาลพิจารณาตามมาตรา 82 ได้

ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องประธานสภา ที่ส่งความเห็นของส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยว่าการที่ร.อ.ธรรมนัส เคยถูกศาลออสเตรเลียตัดสินว่ามีความผิดฐานนำเข้าและค้ายาเสพติดจำคุก 6 ปี แต่จำคุก 4 ปี ก่อนถูกเนรเทศกลับประเทศไทย เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามดำรงตำแหน่งส.ส.และรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(10) ไว้พิจารณา และยังอยู่ระหว่างให้ร.อ.ธรรมนัส ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

มติ 7 ต่อ 1-สิระไม่ก้าวก่ายจนท.รัฐ

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังอ่านคำวินิจฉัย ในคำร้องที่ประธานสภา ได้ส่งความเห็นของส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 57 คน ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกสภาพการเป็น ส.ส.ของนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(7) ประกอบมาตรา 185 (1) หรือไม่ กรณีนายสิระ ใช้สถานะหรือตำแหน่งส.ส. ก้าวก่าย แทรกแซงการทำหน้าที่ของข้าราชการ ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องบุกรุกพื้นที่ป่า ที่จ.ภูเก็ต

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ว่าการที่นายสิระ ลงไปตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียม วันที่ 18-19 ส.ค.2562 ที่จ.ภูเก็ต และแสดงพฤติกรรม ใช้วาจาไม่เหมาะสมกับพ.ต.ท.ประเทือง ผลมานะ รองผกก.ป.สภ. กะรน ผู้บริหารเทศบาลตำบลกะรน ยังไม่เข้าลักษณะใช้ตำแหน่งส.ส. ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185(1) จนเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส. สิ้นสุดลง ตามมาตรา 101(7) โดยศาลให้เหตุผลว่า การ กระทำของนายสิระ เป็นเพียงให้เจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนด ซึ่งการแสดงออก เป็นเพียงการไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของพ.ต.ท.ประเทืองเท่านั้น

ส่วนการพูดจาต่อนายกเทศมนตรีและผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน เป็นเพียงการสอบถามข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่า นายสิระใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.ก้าวก่ายหรือแทรกแซง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185(1)

ขู่ฟ้องกลับ 57 ส.ส.ฝ่ายค้าน

ด้านนายสิระให้สัมภาษณ์ว่า ตนขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำวินิจฉัยอย่างเป็นธรรม ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ตนไม่ได้กระทำความผิดตามคำร้องที่ 57 ส.ส.ฝ่ายค้าน ได้ลงชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา ว่าตนปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นข้อความที่เป็นเท็จหลายประการ ซึ่งตนจะดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ร่วมเสนอคำร้องตามมาตรา 157

โดยฝ่ายกฎหมายกำลังตรวจสอบคำร้อง หากเห็นว่าข้อความอันเป็นเท็จในคำร้องมีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่มิชอบ เป็นความผิดตามกฎหมาย ตนจะดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคลเหล่านั้นตามสิทธิทางกฎหมายที่ผมมีอยู่ต่อไป

สิ้น‘อาคม เอ่งฉ้วน’อดีตรมช.ศธ.

นายสุชีน เอ่งฉ้วน อดีตส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายนายอาคม เอ่งฉ้วน อดีตรมช.ศึกษาธิการและอดีตส.ส.กระบี่ พรรคปชป. เปิดเผยว่า ช่วงเที่ยงวันที่ 1 ก.ค. นายอาคม ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 69 ปี เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ที่โรงพยาบาลกระบี่ ก่อนหน้านี้ นายอาคมมีอาการไตวายและต้องฟอกไตตลอด มีพิธีรดน้ำศพในวันที่ 2 ก.ค. สวดพระอภิธรรม ที่วัดแก้วโกรวาราม ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่

ปปช.ฟัน‘ปู’ย้าย‘ถวิล’มิชอบ

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ กับพวก ใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ โดยมิชอบ จากข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2554

ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้โทรศัพท์สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกฯ (สลน.) ทำเรื่องขอรับโอนนายถวิล จากนั้นสลน.ได้มีบันทึกข้อความลงวันที่ 4 ก.ย.2554 ถึงน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอนนายถวิล และมีบันทึกข้อความลงวันที่ 4 ก.ย.54 ถึงพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ ขณะนั้น เพื่อให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอนนายถวิล

สลน. ตรวจพบว่าวันที่ 4 ก.ย. เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงแก้ไขบันทึกข้อความเป็นวันที่ 5 ก.ย. แต่แก้ก่อนเสนอให้ครม.พิจารณาวันที่ 6 ก.ย. โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อนุมัติให้เสนอครม.เป็นวาระจรและครม.ลงมติรับทราบให้โอนนายถวิล ตามที่สลน.เสนอ จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งให้นายถวิล มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ ในตำแหน่งดังกล่าวทันที ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าวดำเนินการอย่างเร่งรีบรวบรัด เสร็จภายใน 4 วันเท่านั้น

นายนิวัติไชยกล่าวว่า จากนั้นวันที่ 4 ต.ค. ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นเลขาธิการ สมช. และวันที่ 19 ต.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช) ได้เสนอชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย. 55 และเป็นเครือญาติ ให้ดำรงตำแหน่งผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งที่ประชุมก.ต.ช. มีมติเห็นชอบในกรณีนี้

ป.ป.ช.พิจารณาล้วเห็นว่า การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริตตามพ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 192 ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่นเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ทั้งนี้ ให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 76 ต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน