ภายใต้บรรยากาศอันชื่นมื่นของอาหารกลางวันระหว่าง พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก่อให้เกิดคำถามอันแหลมคมขึ้น

เป็นคำถามที่แม้แต่ละฝ่ายอยากถามออกมาเป็นบทเพลง “ใคร เป็นคนผิด อยากถามนัก” กระนั้น ก็ไม่มีใครถาม

ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถาม หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถาม จะสามารถได้คำตอบตามความเป็นจริงจากอีกฝ่ายมากน้อยเพียงใด

ที่สำคัญภายใต้บรรยากาศที่สอดรับกับปรัศนีทางการเมืองซึ่ง กำลังเกิดขึ้นระหว่างปูตินแห่งรัสเซีย กับ เซเลนสกี้แห่งยูเครนเช่นนี้ ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะหาคำตอบได้อย่างเป็นระบบ

เนื่องจากคำถามของปูตินก็มีเป้าหมายอยู่ที่เซเลนสกี้ ขณะที่คำ ถามของเซเลนสกี้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ปูติน

จึงแทนที่จะถาม”คนอื่น” ย้อนถาม”ตนเอง”ไม่ดีกว่าหรือ

นี่คือโจทย์ง่ายในทางการเมืองระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอ ชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เป็นไปได้ว่าไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้วนยึดกุมหลักการเดียวกันกับของท่านกวนอูเมื่อเผชิญกับโลซกในกรณีพิพาทเรื่องเกงจิ๋วอันร้อนแรง








Advertisement

หลักการของกวนอูที่เตือนให้โลซกตระหนักอย่างหนักแน่นและ จริงจังก็คือ ไม่ควรนำปัญหานี้มาคุยกันหน้าเหล้าหน้าข้าว

เช่นนี้เองงานเลี้ยงระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ร่วมโต๊ะ ด้วย ณ บ้านป่ารอยต่อ จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

นับแต่สถานการณ์ร้อนแรงเมื่อเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างขัดแย้งกับบทสรุปที่ว่า “ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่

เลิกรา” กลับกลายเป็นแม้เลิกราแล้วก็มีงานเลี้ยงได้อีก วนเวียนอยู่

เมื่องานเลี้ยงระหว่าง”กลุ่ม 3 ป.”เป็นงานเลี้ยงที่ดำเนินไปในลักษณะเลี้ยงเพื่อที่จะเลี้ยง พบเพื่อที่จะพบกันอีก ประชุมร่วมกันอีก ในที่สุดก็เสมอเป็นเพียง”พิธีกรรม”

เป็น”พิธีกรรม”อันมิได้หมายถึงการสรุปหรือการจบของปัญหา

เพราะว่าปัญหามิได้มาจาก “ภายนอก” หากเด่นชัดอย่างยิ่งว่าได้กลายเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่”ภายใน”

นั่นก็คือ ภายในระหว่างพี่น้องใน”กลุ่ม 3 ป.”เป็นสำคัญ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน